WHAT’s special with Jason Mraz?
“ค่ะ ได้เวลาคอนเฟิร์มแล้วนะคะ 1 ทุ่มตรง เป็นสัมภาษณ์กลุ่ม 7 คน 20 นาที เดี๋ยวรายละเอียดปลีกย่อยจะแจ้งให้ทราบ แล้วเราเจอกันวันงานก่อนเวลาสัก 1 ชม.นะคะ “ ประโยคดังกล่าวเป็นจุดกำเนิดของบทความพิเศษนี้อย่างแท้จริง หลังจากพยายามใช้ลูกบ้าส่วนตัว ตื้อ, ดื้อ และ สองมือที่มีเหมือนคนอื่นๆ เขียน E-mail ไปให้ทาง Warner Music Thailand ทางฝ่ายดูแลคิวสัมภาษณ์“Jason Mraz “ส่งต่อข้อมูลดิบๆจากนักเขียนธรรมดาๆไปยังบริษัทแม่(วอร์เนอร์ใหญ่ที่อเมริกา) ที่ดูแลและปลุกปั้นศิลปินระดับโลกมากมาย รวมถึง – Mr. Gentleman – รายนี้ด้วยในที่สุดแล้วความพยายามของผมก็ไม่ได้สูญเปล่า หลังได้รับการยืนยันว่าจะได้สัมภาษณ์หนึ่งในศิลปินระดับโลกตัวเป็นๆอย่างใกล้ชิด(พอสมควร) ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านมาร่วมสัมผัสบทสัมภาษร์จากประสบการณ์จริงๆ ที่ผ่านกระบวนการคัดสรรค์ เรียบเรียง และ กลั่นกรอง มาหลายขั้นตอนจนเหลือ 6 คำถามเน้นๆหนักๆ และ กล้ารับประกันได้ว่า “ไม่น่าจะผ่านมือใครก่อนถึงมือคุณครับ”…
บทสัมภาษณ์กลุ่ม 7 คน (ไม่มี Timing ไม่ใช้คนถามแทน ใครมีคำถามยิงได้ยิงเลย)
โอย…มาแล้วๆ นั่นไงล่ะ เดินมาแล้ว ผมได้แต่คิดกับตัวเองในใจว่ามาถึงห้องสัมภาษณ์นี้ได้ก็บุญโขแล้ว จะเริ่มต้นยังไงดีหว่า? มองไปทางซ้าย เอานั่น – พี่ Max (ณัฐวุฒิ เจนมานะ) ศิลปินสุดหล่อจากรายการ The voice Thailand, มองไปข้างหน้ามีโซฟาเปล่าที่รอ Jason Mrazมานั่ง, มองไปทางขวา โป๊ะเลยมาพอดี… ทันใดนั้นทุกอย่างก็ผ่อนคลายลงเมื่อ ศิลปิน ระดับโลก ยื่นมือของตัวเองมาจับมือกับทุกคนที่รอสัมภาษณ์เขาอยู่ พร้อมกับถามว่า “เป็นไงกันบ้าง งานหนักมั้ย?” คำตอบก็ย่อมต่างกันไป ที่เหมือนกันส่วนมากคือ “Nice to meet you” ในจังหวะที่ Jason จะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก็มีเสียงยิงคำถาม– แรก (อย่างไม่เป็นทางการ)–กลับไปตามมารยาทว่า “แล้วคุณล่ะ!!! งานหนักมั้ย?” คำตอบที่ Jason ตอบกลับมาคือ “Me, no. This isn’t work , it’s a play.” ทำให้ผมรู้สึก ***ประทับใจตั้งแต่วินาทีนั้น*** และ บทสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นกันเอง…
Q: ขั้นตอนในการแต่งเพลงของคุณ มีความเป็นมาอย่างไรบ้างครับ? ตั้งแต่ในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ รวมถึงแรงบันดาลใจที่ใช้ในการแต่งและขัดเกลางานจนออกมาสมบูรณ์?
Jason Mraz:จริงๆแล้ววิธีการแต่งเพลงของผมจะมี 2 แนวทาง วิธีแรก คือ นั่งลงและพูดกับตัวเองว่า “เราจะแต่งเพลงละนะ” แล้วก็ตั้งสมาธิร้องเพลงเล่น กีต้าร์ พร้อมกับนำถ้อยคำ และ เสียงโน้ตต่างๆ มาเล่นคละเคล้ากันไปเรื่อยๆ เมื่อเริ่มมีไอเดียแรกโผล่ขึ้นมาในหัว ผมก็จะเริ่มเก็บรวบรวมไว้ โดยที่ผมพยายามที่จะไม่กำหนดหัวข้อให้กับตัวเองว่าต้องยึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ผมจะนำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆ ณ ขณะนั้น มาเป็นข้อมูลในการแต่ง ส่วนอีกวิธีก็คือผมจะสร้างเหตุการณ์สมมติขึ้นมา หรือ ไม่ก็มองย้อนกลับไปในอดีตของตัวเองที่เป็นประสบการณ์จริงของชีวิต ถ้าผมก็ไม่สามารถสร้างเหตุการณ์สมมติที่เหมือนจริงขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของการรวบรวมข้อมูล และ เสียงต่างๆ ที่ดังก้องอยู่ในหัว มาเขียนลงบนกระดาษ ทั้งหมดนี่คือขั้นตอนการแต่งเพลงของผม ปกติแล้วผมมักจะเขียนเพลงออกมามีความยาวมาก อย่างเช่น “I won’t give up” ในตอนแรกเป็นเพลงที่นานถึง 7 นาที ก่อนที่ผมจะขัดเกลาตัดในส่วนที่คิดว่ามันยืดเยื้อ และ ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งแต่ละเพลงก็จะใช้เวลาในการแต่งไม่เท่ากัน 1ชม., 12 ชม. หรือบางทีก็เป็นอาทิตย์ เพราะบางเพลงผมแต่งไปได้บางส่วน แต่จำเป็นต้องไปหาประสบการณ์จริงมาเพิ่มเติมเสริมลงไปให้มันสมบูรณ์
Q:ศิลปินหลายๆคน สร้างสรรค์ผลงาน พร้อมกับระบายอารมณ์โกรธออกมาในเวลาเดียวกัน ด้วยการใส่ความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในบทเพลง คุณเคยทำอะไรแบบนั้นบ้างมั้ย?
Jason Mraz:ฮ่าๆๆ จริงๆแล้วผมเป็นที่อารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลานะ แน่นอนเลยว่าผมจะต้องมีการแสดงออกความโกรธเหมือนคนทั่วๆไป ทั้ง น้ำเสียงที่ก้าวร้าว, มีบันทึกประจำวันที่เขียนระบายตอนหงุดหงิด(www.jasonmraz.com/journal ) และ เพลงที่แต่งด้วยอารมณ์โมโห อย่างไรก็ตามผมจะนำเสนองานเพลงของผมในความหมายที่เป็นด้านบวก เพราะว่า ผมเหมือนคนที่ใช้ชีวิตและสร้างงานจากด้านที่มืดมนของชีวิตของมนุษย์ มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเศร้าเสียใจ และ เจ็บปวด ซึ่งผมไม่อยากจะให้แฟนเพลงของผมรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น ดังนั้นผลงานของผมจึงมีความหมายในเชิงที่ว่า “ทำยังไงดีให้เรากลับมามีความสุขอีกครั้ง?” แต่ถ้ามองลงให้ลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละเพลงเหมือนมองผ้าสักผืนให้ลึกถึงเส้นใยที่ถักทอก็จะยังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน
Q:คุณมักจะแต่งเพลงในทุกๆที่คุณเดินทางไป แล้วมีเพลงที่แต่งตอนที่คุณอยู่เมืองไทยบ้างมั้ยครับ? (คำถามนี้ตั้งเอง และ คาดหวังคำตอบมากครับ 555+)
Jason Mraz: คุณก็รู้นี่ว่า ผมเป็นคนที่ชอบเขียนงานบ่อยๆในทุกๆที่ แน่นอนต้องมีเพลงที่ผมแต่งที่นี่อยู่แล้ว เพลงนั้นมีชื่อว่า “5 more minutes” ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อมอบให้กับแฟนของผมครั้งล่าสุดที่ผมมาเมืองไทยโดยมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงที่ ผมกับแฟนมีเวลาบอกลากันแค่ 5 นาทีเท่านั้น (So Romanticหลายๆคน พูดขึ้นมาพร้อมกัน *** ยกเว้นผมเองที่ตะลึงกับคำตอบอยู่…บอกตามตรงอยากฟังมากครับ)
Q: เพลงแทบทุกเพลงของคุณมักจะสื่อความหมายเป็นนัยให้ทุกคนแบ่งปันความรักให้แก่กันและกัน แล้วสิ่งสำคัญที่สุดของคุณที่อยากแบ่งปันให้คนรักของคุณคืออะไรครับ? (อีกคำถามจากผมครับแฮ่ๆ!!!)
Jason Mraz: ผมอยากจะแบ่งปัน ผลงานทั้งหมด, อาหาร, ทรัพย์สิน,ที่พัก และ ครอบครัวของผม รวมไปถึง เวลาและ ความสามารถในการฟังของผมที่สามารถรับรู้ได้ถึงความรัก และ ความเจ็บปวด ซึ่งผมคิดว่ามีคนอีกเยอะแยะมากมายเลยที่อยากสัมผัสถึงสองสิ่งนี้ได้อย่างลึกซึ้ง นั่นจึงเป็นสิ่งที่ผมอยากจะมอบให้คนที่ผมรัก ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นคนที่ไม่สนใจและใส่ใจใครเลยนอกจากตัวผมเองมาโดยตลอด แต่ผมในตอนนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ได้เติบโตและเรียนรู้ชีวิตว่า จริงๆแล้วสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ คือ “ความรัก “
Q: คุณคิดว่าต่อไปวงการดนตรีจะมีแนวโน้มไปในทิศทางไหนครับ?
Jason Mraz: ผมไม่รู้นะว่า จากนี้ไป วงการดนตรี จะพัฒนาแนวเพลงแบบไหนให้โดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะว่าความเป็นจริงแล้ว เพลง สามารถพัฒนาไปได้ในทุกๆทิศทาง สาเหตุสำคัญคงไม่พ้น“ เทคโนโลยี “ ในยุคสมัยนี้ที่พัฒนาไปมาก ทำให้อะไรๆมันก็ง่ายขึ้น แม้แต่การทำเพลงขึ้นมาด้วยการใช้ โทรศัพท์มือถือ ผมก็เพิ่งได้ลองทำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเอง แต่นั่นก็เป็นข้อได้เปรียบเพียงทางเดียวที่ เทคโนโลยี เหนือกว่า การทำเพลงแบบเก่า ด้วยการสร้างและสังเคราะห์เสียง รวมถึงแนวเพลงชนิดใหม่ขึ้นมาทั้งหมด หรือ เอาเพลงเก่าไปทำให้มันทันสมัยด้วยวิวัฒนาการในปัจจุบัน แต่ใช่ว่าคนเราจะเลิกหยิบ กีต้าร์, แบนโจ หรือ อูคูเลเล่ ขึ้นมาเล่นซะที่ไหน ? สุดท้ายแล้วผมคิดว่า พัฒนาการของดนตรีจะมีต่อไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่มีแนวเพลงใดๆถูกทิ้งไปแบบไม่เห็นค่าอย่างแน่นอน
Q:ช่วยพูดถึงอัลบั้มใหม่ของคุณสักหน่อยครับ ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือ ความพิเศษอะไรบ้าง?
Jason Mraz: อัลบั้มใหม่ของผม ทุกๆบทเพลงยังคงคอนเซ็ปต์และกระบวนการแบบเดิมที่ทำให้ผู้ฟังมองโลกในแง่บวก แต่ในเรื่อง Soundของดนตรีจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ในอัลบั้มนี้ คุณจะได้รับรู้ถึง แสงอาทิตย์ที่อบอุ่น และ สว่างไสว หากมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องดีไว้ก่อน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของผมที่พูดอยู่เสมอว่า ต้องการให้ทุกๆคนบนโลกใบนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่าที่ ทุกคนเป็นอยู่ในปัจจุบัน
“Music is continuing to evolve but I don’t think that any style of them left behind.”
By : Jason Mraz