คำถามสัมภาษณ์ คุณคริส (K S SONSGROUP)
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในวารดิถีที่นิตยสาร What Hi-Fi? ครบรอบ 30 ปีเต็มในฉบับนี้ เราใคร่ขอนำเสนอคอลัมน์ใหม่ที่มีชื่อว่า What’s Executive? ซึ่งจะเป็นคอลัมน์พิเศษที่จะพาท่านทั้งหลายไปรู้จักกับบุคคลที่เป็น “ตัวจักร” สำคัญของบริษัทต่างๆในแวดวงเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์ด้วยการสัมภาษณ์ The Executive แบบ Exclusive มาให้ท่านทั้งหลายได้ติดตามกันครับ ซึ่งในฉบับแรกของปีที่ 30 นี้ เราขอเปิดประเดิมด้วยบทสัมภาษณ์ Mr. Executive หนุ่มไฟแรงแห่ง บริษัท K S SONSGROUP คุณ คริส กฤษฎา ศรีชวาลา ผู้ถือสินค้าเครื่องเสียงแบรนด์ ไฮ-เอนด์ยอดนิยมอย่างมากมายอาทิเช่น McIntosh, Audio Research, MBL, Sonus Faber ฯลฯ…
“ตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 30 ปีที่ผ่านมาเราได้พัฒนารูปแบบการให้บริการหลายอย่างมากๆ ครับเพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น คือจะเลือกทำอะไรก็ตามที่เราคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ามากที่สุด”
What Hi-Fi?: รบกวนช่วยบอกเล่า ความเป็น K S SONSGROUP ใน vision คุณคริส ว่ามีความแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ อย่างไร?
คุณคริส: ผมไม่แน่ใจว่าแตกต่างรึเปล่านะครับ ฉะนั้นผมขอพูดถึงจุดแข็งของทางบริษัทฯ จะดีกว่า สำหรับบริษัทฯ ของเราเน้นเรื่องการบริการเป็นหลัก สินค้าดีมีคุณภาพก็ต้องมาพร้อมความดูแลเอาใจใส่ที่ดีด้วยเช่นกันครับ เราตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะมองหา คัดสรร และนำเข้าแต่สินค้าที่มีคุณภาพ และตรงใจลูกค้ามากที่สุด เพราะเราต้องการให้บริษัท เค เอส ซันส์กรุ๊ปของเราเป็นชื่อแรกๆ ที่ลูกค้าจะนึกถึงเมื่อต้องการเครื่องเสียงดีๆ สักเครื่อง ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 30 ปีที่ผ่านมาเราได้พัฒนารูปแบบการให้บริการหลายอย่างมากๆ ครับเพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น คือจะเลือกทำอะไรก็ตามที่เราคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบริการรับซื้อคืนและแลกเปลี่ยนสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่มีความนิยมใช้สินค้ารุ่นใหม่ตลอดเวลาสามารถเปลี่ยนรุ่นใหม่ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เรามีระบบ On site service และมีบริการส่งเครื่องเสียงให้ทดลองฟังถึงหน้าประตูบ้านเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า และที่สำคัญราคาของสินค้าของเราก็เป็นราคามาตรฐานเมื่อเปรียบเทียบกับราคาของต่างประเทศครับ
What Hi-Fi?: K S SONSGROUP นับว่าถือสินค้าแบรนด์ไฮ-เอ็นด์อยู่มากมาย ลำบากใจไหมครับ ในการบริหารงาน และมีวิธีการจัดการอย่างไร?
คุณคริส: ถ้าถามว่าลำบากใจไหม ผมคงต้องตอบว่ามันไม่ใช่ความลำบากใจครับ เพียงแต่ผมเองก็ต้องวางแผนในการบริหารจัดการให้เป็น ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ในการคัดเลือกแบรนด์ที่เราจะนำเข้า ที่นอกจากจะต้องเป็นแบรนด์ชั้นนำแล้ว ยังต้องมีฐานบริษัทที่ดี มีความมั่นคงแข็งแกร่ง มีสินค้าที่มีคุณภาพ และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีทุกวันนี้เปลี่ยนเร็ว ยุคสมัยก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ฉะนั้นความต้องการของลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งผมมองว่าผู้ผลิตที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี มีการพัฒนาเทคโนโลยีและมีความคิดสร้างสรรค์ ผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆ มาเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียง คือผู้ผลิตที่เรามองหา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วแบรนด์ต่างๆ ที่ทางบริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่เหล่านักเล่นเครื่องเสียงทั่วโลกให้การยอมรับ นอกจากจะเป็นแบรนด์ที่การันตีได้ในคุณภาพของสินค้าแล้ว ยังมีระบบการให้การบริการหลังจากขายที่ดีมากๆ ซึ่งเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นหัวใจของธุรกิจ เพราะเมื่อ Supplier มีการบริการหลังการขายที่ดี เราเองก็สามารถต่อยอดเพื่อนำมาให้บริการแก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดีเช่นกันครับ
What Hi-Fi?: พูดได้ว่า ณ ตอนนี้ คุณคริส ได้เข้ามารับช่วงในการบริหารงานส่วนใหญ่ที่ K S SONSGROUP ต่อจากคุณพ่อ (คุณวรเทพ) อยากทราบว่า คุณคริส ได้วางแนวทางต่อจากนี้ไปอย่างไรบ้าง?
คุณคริส: อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่าหัวใจหลักของธุรกิจคือการบริการ เพราะฉะนั้นผมเองก็ยังจะคงดำรงแนวทางที่สืบต่อมาจากคุณพ่อของผมเป็นหลักครับ นั่นก็คือให้ความสำคัญกับการบริการอันน่าประทับใจในทุกขั้นตอน คือไม่ว่าคุณจะเป็นนักเล่นเครื่องเสียงมือใหม่ หรือเป็นถึงระดับนักเล่นหูทองคำ แต่ถ้าคุณเป็นลูกค้าของเรา เราจะไม่ใช่แค่ร้านขายเครื่องเสียงที่แค่รับเงิน ส่งของ แล้วก็จบกัน แต่เราจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว จนถึงคอยดูแลและแก้ปัญหาด้านเครื่องเสียงให้กับคุณไปตลอดอายุการใช้งานครับ ซึ่งนอกจากเรื่องของการให้บริการที่ดีแล้ว ผมยังต้องศึกษากลไกของตลาดเครื่องเสียง แนวโน้มของตลาดที่จะมีในอนาคต มองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์ความต้องการเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากที่สุด ซึ่งตรงนี้มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ผมคงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ต่อไปครับ
What Hi-Fi?: อยากให้ช่วยเล่าประสบการณ์ที่ประทับใจในช่วงของการผ่องถ่ายงานจากทางคุณพ่อครับ
คุณคริส: ถ้าจะให้พูดถึงประสบการณ์ความประทับใจผมคงพูดได้ไม่หมดนะครับ เพราะผมมาทำงานกับคุณพ่อนานพอสมควร มันมีความประทับใจเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่าง ผมก็อยากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คือผมนั่งทำงานห้องเดียวกับคุณพ่อ ผมจะได้ยินตลอดเวลาที่ท่านคุยกับลูกค้า หรือคุยกับพนักงาน ผมเห็นถึงความตรงไปตรงมา และความซื่อสัตย์ที่ท่านมีให้กับลูกค้าทุกคน ท่านยอมเสียเปรียบได้ถ้าจะทำให้ลูกค้าจะรู้สึกสบายใจขึ้น ซึ่งผมรู้สึกได้เลยว่าท่านทำงานตรงนี้เพราะเป็นสิ่งที่ท่านรักจริงๆ ไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องของผลกำไรเพียงอย่างเดียว หรือกับพนักงานเองก็เช่นกัน ท่านให้เกียรติพนักงานทุกคน และยังสอนให้ผมให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้เราจะเป็นเจ้านายแต่เราก็ทำงานกันเป็นครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในความประทับใจและเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ผมคงไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้วครับ
What Hi-Fi?: ในปัจจุบันแนวโน้มทางด้านของการเล่นแผ่นเสียงทั่วโลกนับว่ามีมากขึ้น จนส่งผลให้หลายบริษัทผู้ผลิตต่างกลับมาบรรจุภาคขยายสัญญาณหัวเข็มกันมากขึ้น ในทัศนะของคุณคริส คิดว่า แนวทางของการเล่นแผ่นเสียงนี้จะมีพัฒนาการไปอย่างไร ?(ในฐานะที่มีโอกาสได้คลุกคลีกับทางบริษัทผู้ผลิตหลายต่อหลายบริษัท)
คุณคริส: ในความคิดผม ผมว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงและแผ่นเสียง รวมถึงหัวเข็มไม่มีวันตายไปจากวงการเครื่องเสียงอย่างแน่นอนครับ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่คลาสสิก มีเสน่ห์ และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการฟังเพลงในระดับไฮเอ็นด์ คือเสียงที่ได้จากแผ่นเสียงผมว่ามันให้อารมณ์มากกว่าเสียงที่ได้จากแผ่นซีดีนะครับ คุณภาพมันต่างกัน ซึ่งตรงจุดนี้ผู้ที่คร่ำหวอดในแววดวงเครื่องเสียงเองก็คงจะทราบกันดี จะเห็นว่าในปัจจุบันนี้เครื่องเล่นแผ่นเสียง ตลอดไปจนถึงหัวเข็มเองได้ถูกพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนมากครับ ทั้งเรื่องของระบบขับเคลื่อน การแยกมอเตอร์เพื่อลดแรงสั่นสะเทือน หรือฟังก์ชั่นการทำงานที่นิ่ง เงียบปราศจากการรบกวนใดๆ รวมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เรียกว่าคัดเกรดคุณภาพจริงๆ ซึ่งจากสิ่งที่ผมกล่าวมานี้มันต้องใช้การลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นมา เพื่อให้เครื่องเล่นแผ่นเสียงของตัวเองมีศักยภาพเพียงพอที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจได้ ฉะนั้นแล้วถ้าบริษัทผู้ผลิตเหล่านั้นยอมทุ่มทุนขนาดนี้ ผมก็เชื่อว่าบริษัทผู้ผลิตเหล่านั้นก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับผมครับ
What Hi-Fi?: ทุกวันนี้โลกเครื่องเสียงไฮ-เอ็นด์ดูจะเปิดกว้าง มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย บ้างก็วูบวาบแล้วก็ดับไป K S SONSGROUP มีแนวพิจารณาเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่จะรับทำตลาดอย่างไรบ้างครับ?
คุณคริส: พิจารณาหลายอย่างมากครับ ไม่ใช่เขามีสิทธิเลือกตัวแทนจำหน่ายฝ่ายเดียวนะครับ เราในฐานะของตัวแทนจำหน่ายเองก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการเลือก Supplier อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในช่วงแรกนะครับ คือต้องพิจารณาทั้งความมั่นคงของบริษัทผู้ผลิต คุณภาพของสินค้า ดูผลผลิตที่ผ่านมาในช่วงหลายๆ ปีของบริษัทนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร มีการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์มากน้อยแค่ไหน และแนวโน้มของบริษัทผู้ผลิตในอนาคตข้างหน้าว่าจะไปในทิศทางไหน ค่อนข้างละเอียดอ่อนครับเรื่องนี้ คือดูกันเชิงลึกกันเลย เพราะนั่นหมายถึงคุณภาพของสินค้า รวมไปถึงการบริการหลังการขายที่เราจะนำเข้ามาสู่ลูกค้าของเราด้วยครับ ซึ่งผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ และอีกสิ่งที่เพิ่มจากที่บอกไปในตอนแรกก็คือต้องดูด้วยว่าแบรนด์ใหม่ๆ ที่เราจะนำเข้ามามันเหมาะสมกับตลาดในบ้านเรารึเปล่า? เข้ากับสินค้าที่เรามีอยู่ไหม? คือมันต้องส่งเสริมกันครับ เพื่อที่เราจะสามารถต่อยอดทางธุรกิจต่อไปได้ครับ
What Hi-Fi?: ปัจจุบันสภาพทางเศรษฐกิจในบ้านเรา จัดว่า ซบเซา ผู้คนไม่ค่อยอยากจะใช้เงินกันนัก ในฐานะที่คุณคริสอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการด้านเครื่องเสียงไฮ-เอ็นด์ เล็งเห็นว่าจะอยู่ในสภาวะการณ์นี้นานไหมครับ และ K S SONSGROUP วางแนวทางไว้อย่างไรครับสำหรับสภาวการณ์นี้?
คุณคริส: สำหรับความคิดผม ผมว่าช่วงนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วนะครับสำหรับเศรษฐกิจในบ้านเรา คือต้องยอมรับว่าตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองครั้งล่าสุด ก็ได้สร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนมากขึ้นพอสมควร เพราะฉะนั้นแล้วผมเล็งเห็นว่าสภาพเศรษฐกิจที่เคยซบเซามาหลายเดือนติดต่อกันจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน แต่คงยังไม่ถึงกับจะเฟื่องฟูเหมือนอย่างเมื่อ 20 ปีก่อนนะครับ ถ้าจะให้เป็นแบบนั้นก็คงจะต้องใช้เวลานานพอสมควรและต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่าง แต่ในช่วงนี้ก็ถือว่าเริ่มดีขึ้น จะเห็นว่าในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ทิศทางทางเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ผู้คนเริ่มที่จะกล้าใช้เงินกันมากขึ้นกว่าเมื่อตอนช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็เป็นถือสัญญาณที่ดีครับ
ส่วนการรับมือกับสภาพของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ต้องบอกตามตรงนะครับว่าในขณะที่เศรษฐกิจในบ้านเราถดถอยตั้งแต่ช่วงปีก่อน ราคาสินค้าเครื่องเสียงหลายตัวถูกปรับขึ้นจากทางโรงงานผู้ผลิต ซึ่งทางบริษัทฯ เองได้รับภาระตรงส่วนนั้นไว้เกือบทั้งหมด เพราะรู้ดีว่าในสภาพเศรษฐกิจแบบนั้นคงไม่มีใครอยากซื้อของราคาแพง เพราะฉะนั้นส่วนไหนที่เรายังพอรับไหวเราก็ไม่ได้ทำการปรับขึ้นราคา จะมีสินค้าแค่บางรุ่นเท่านั้นที่มีการปรับราคาขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นมาตรการหนึ่งที่เราคิดว่าจะช่วยแบ่งเบาให้กับลูกค้าได้ และสำหรับการวางแผนรับมือกับสภาพเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าก็ต้องดูเป็นไตรมาสไปครับ ในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น เราก็เริ่มมีการจัดทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย และเพื่อให้ลูกค้าหลายๆ ท่านที่ก่อนหน้านี้อาจจะรู้สึกว่ายังไม่อยากนำเงินมาใช้ในส่วนนี้ได้ตัดสินใจง่ายขึ้น และสำหรับการจัดโปรโมชั่นครั้งล่าสุดที่ผ่านมาก็นับว่าได้รับการตอบรับจากท่านลูกค้าเป็นอย่างดีทีเดียวครับ และขอฝากไว้สำหรับท่านผู้อ่านทุกท่านขอให้ติดตามโปรโมชั่นดีๆ ที่ทางบริษัทฯ จะจัดขึ้นในครั้งต่อๆ ไปด้วยนะครับ
What Hi-Fi?: แบรนด์ส่วนใหญ่ที่ K S SONSGROUP ทำตลาดอยู่จะเป็นแบรนด์ดังๆ ของทาง USA หรือไม่ก็ EUROPE แบรนด์ดังๆ จากทางญี่ปุ่นซึ่งก็มีอยู่มาก อยู่ใน “สายตา” ที่จะพิจารณานำเข้าบ้างไหมครับ?
คุณคริส: อันที่จริงแล้วทางเราไม่ได้เจาะจงว่าแบรนด์สินค้าที่เรานำเข้าจะต้องเป็นแบรนด์จากยุโรปหรืออเมริกานะครับ เรามองกันที่คุณภาพของสินค้ามากกว่า อย่างแบรนด์หลักๆ เช่น McIntosh, Audio Research หรือ Pass Labs เราก็เป็นตัวแทนจำหน่ายมานานหลายสิบปี ก็ต้องยอมรับว่าแบรนด์เหล่านี้เป็นแบรนด์ที่เกินมาตรฐานความเป็นไฮเอ็นด์ ทั้งด้านของคุณภาพของเครื่องเสียง สมรรถนะการใช้งาน เทคโนโลยีต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในเครื่อง ไปจนถึงอายุการใช้งานที่ยืนยาว ซึ่งถ้าแบรนด์จากทางแถบเอเชียเราสามารถทำได้เช่นเดียวกัน เราก็ยินดีพิจารณาอยู่แล้วครับ ถือเป็นโอกาสอันดีด้วยที่จะได้สนับสนุนสินค้าเครื่องเสียงจากทวีปเอเชียของเราให้ทัดเทียมสินค้าจากทางฝั่งยุโรปและอเมริกาครับ
What Hi-Fi?: K S SONSGROUP ในอนาคตข้างหน้าสำหรับคุณคริสแล้ว วางรูปแบบคร่าวๆ อะไรไว้ในใจบ้างครับ?
คุณคริส: สำหรับทาง เค เอส เราก็มีการวางแผนที่จะนำสินค้าที่เป็นรูปแบบไลฟ์สไตล์มากขึ้นเข้ามาจำหน่าย ซึ่งในต้นปีหน้าจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีกหนึ่งแบรนด์ ที่เราจะเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งสินค้าที่อยู่ในแบรนด์นี้ ต้องบอกว่าครบวงจร และน่าสนใจมากๆ ครับ เพราะนอกจากจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี มีความหลากหลายแล้ว ในเรื่องของราคาก็ค่อนข้างย่อมเยา ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับนักเล่นเครื่องเสียงในสภาวะที่เศรษฐกิจกำลังเริ่มฟื้นตัวแบบนี้ครับ ขอให้ติดตามกันครับรับรองว่าไม่ผิดหวัง และเชื่อว่าสินค้าในแบรนด์นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มออดิโอไฟล์ในบ้านเรา
What Hi-Fi?: ปัจจุบัน K S SONSGROUP มีโชว์รูมสาขาอยู่กี่แห่ง ที่ไหนบ้างครับ และมีการพูดคุยกันไหมครับว่า มีเล็งๆ กันไว้เพิ่มเติมอีก?
คุณคริส: ปัจจุบันบริษัท เค เอส ซันส์กรุ๊ป ของเรานอกจากสำนักงานใหญ่ที่ถนนรัชดาภิเษกแล้ว ยังมีโชว์รูมที่ใช้ชื่อว่า KS Home Entertainment Plus อยู่อีก 3 สาขาครับ ซึ่งจะแบ่งเป็นโชว์รูมของสินค้าใหม่ หรือสินค้ามือหนึ่ง อยู่ที่ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และชั้น 1 อาคาร ซี ในโครงการคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ หรือ CDC เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราครับ สำหรับการจัดวางสินค้าในโชว์รูม 2 แห่งนี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างนะครับ สำหรับโชว์รูมที่สยามพารากอน เราจะเน้นไปในด้านของสินค้าที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากกว่า เช่น Music Server, All-in-one Unit หรือชุดเครื่องเสียงขนาดกลาง ลำโพงขนาดกลาง แต่สำหรับโชว์รูมที่ CDC เราจะเน้นชุดโฮมเธียเตอร์ และชุดเครื่องเสียงชุดใหญ่ในระดับ Ultra Hi-End เพราะเราได้สร้างห้องฟังขนาดใหญ่ไว้รองรับชุดเครื่องเสียงในระดับนี้โดยเฉพาะครับ ส่วนโชว์รูมสาขาที่ 3 เป็นโชว์รูมของสินค้ามือสอง หรือสินค้าโชว์ ซึ่งที่นี่เรารับเทรดสินค้า และรับฝากขายสินค้าไฮเอ็นด์แบรนด์ต่างๆ ด้วยครับ ซึ่งอยู่ที่ชั้น 3 อาคารฟอร์จูนทาวน์
และเรื่องของการขยายสาขาคงจะมาในรูปแบบของการนำสินค้าของเราไปจำหน่ายใน Power Mall ในเครือของ The Mall Group ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางให้แก่ลูกค้าในการเข้าถึงสินค้าของทางบริษัทด้วยครับ ซึ่งที่แรกที่เราจะทำการจำหน่ายสินค้าของบริษัทใน Power Mall คือที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยม ถนนสุขุมวิทครับ ผมขอถือโอกาสนี้ฝากประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ จะเปิดให้บริการประมาณต้นพฤศจิกายนนี้ที่ชั้น 3 Power Mall ศูนย์การค้าเอ็มโพเรี่ยมครับ
What Hi-Fi?: แบรนด์ใดที่จัดว่า เป็น Top five ของทาง K S SONSGROUP?
คุณคริส: จริงๆ ผมอยากจะขอตอบสัก 6 แบรนด์นะครับ เดี๋ยวผมบอกชื่อแบรนด์ก่อน แล้วจะให้เหตุผลว่าทำไมถึงเป็น 6 ไม่ใช่ 5 สำหรับแบรนด์หลักๆ ของบริษัท เค เอส ซันส์กรุ๊ป เชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ซึ่งอันดับหนึ่งต้องยกให้ McIntosh ครับ สำหรับแบรนด์นี้ผมคงไม่ต้องขยายความอะไรมากนัก เพราะชื่อของแบรนด์ก็เป็นตัวการันตีถึงคุณภาพของสินค้าได้ดีอยู่แล้วนะครับ แบรนด์ต่อมาคือ Audio research และ Pass Labs สำหรับ 2 แบรนด์นี้ก็มีชื่อเสียงที่ยาวนาน และอยู่คู่กับบริษัทมายาวนานมากๆ เช่นกัน เรียกว่าไม่แพ้ McIntosh เลยครับ ลำดับต่อมาคือ Sonus Faber แบรนด์นี้ถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในด้านการผลิตลำโพง ไม่ว่าจะเป็นลำโพงวางหิ้ง หรือลำโพงตั้งพื้น รุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่ แบรนด์นี้ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังครับ สำหรับลำดับที่ 5 คือ MBL แบรนด์เครื่องเสียงสัญชาติเยอรมัน ที่มีความโด่ดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่ดูหรูหรา งามสง่า และคุณภาพเสียงก็ไม่ด้อยไปกว่ารูปลักษณ์ที่เห็น อันที่จริงแล้วคุณภาพไม่ได้แตกต่างจาก 3 แบรนด์แรกนะครับ เพียงแต่ถ้านับลำดับการเป็นตัวแทนจำหน่ายก่อนหลัง สำหรับ MBL ก็ถือเป็นน้องคนสุดท้อง ผมจึงเลือกให้เป็นลำดับที่ 5 ทีนี้ก็มาถึงแบรนด์ที่ 6 แบรนด์นี้ไม่พูดถึงคงไม่ได้ครับ เพราะเป็นแบรนด์ที่ผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ดีที่สุดในตลาดเครื่องเสียง ณ เวลานี้ และนี่คือคำนิยามและเหตุผลสั้นๆ ที่ผมอยากจัดให้ Clearaudio อยู่ในแบรนด์สินค้า Top Five ของบริษัทด้วยเช่นกัน
What Hi-Fi?: กับการเข้ามาเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของ K S SONSGROUP มีอะไรอยากจะบอกไปถึงผู้อ่าน หรือ ผู้บริโภคทางด้านเครื่องเสียงไหมครับ?
คุณคริส: ถึงแม้ว่าผมจะเข้ามาสู่ธุรกิจเครื่องเสียงเป็นเวลานานหลายปี แต่ก็ยังนับว่ามีประสบการณ์ไม่มากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของเครื่องเสียง ผมยังต้องศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์อีกมาก เพราะฉะนั้นผมคงไม่ฝากอะไรมากเกี่ยวกับด้านเครื่องเสียงครับ เพราะเชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องมีประสบการณ์ในด้านนี้มากว่าผมอย่างแน่นอน แต่ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อนักเล่นเครื่องเสียงทุกท่านที่ยังคงรักและชื่นชอบการฟังเพลง รักในเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ผมและทีมงานอาจจะได้รับใช้ให้การดูแลทุกท่านในเรื่องของเครื่องเสียงในอนาคตข้างหน้า และผมขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่เป็นลูกค้าของทางบริษัทฯ ที่คอยให้การสนับสนุนบริษัทฯ ของเราด้วยดีเสมอมา ขอบคุณมากๆ ครับ