เนื่องจากคำศัพท์ทางเครื่องเสียงส่วนใหญ่จะบัญญัติมาจากภาษาต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษเป็นหลัก ซึ่งคำศัพท์บางคำอาจมีความหมายเฉพาะ ที่การเปิดอ่านจากพจนานุกรมทั่วไป อาจได้ความหมายที่ไม่เจาะจง หรือ ตรงกับความหมายที่ต้องการสื่อถึง ทว่าพจนานุกรมสำหรับเครื่องเสียงโดยเฉพาะก็ยังมิได้มีการจัดทำ ดังนั้นการแปลความคำศัพท์สำหรับแวดวงเครื่องเสียงบ้านเราจึงเกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อความหมาย อาจจะมากบ้าง-น้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล ยังมิได้มีมาตรฐานให้เรา-ท่านได้ยึดถือร่วมกัน
“What Hi-Fi? Vocabulary” เป็นการนำเอาคำศัพท์ทางเครื่องเสียงที่ใช้กันบ่อย หรือ คุ้นเคยกันเป็นส่วนใหญ่นั้น มาแปลความโดยพยายามอ้างอิงจากข้อมูลต้นทางที่สืบค้นจากหลายทางมาผนวกกัน ให้ได้ความหมายโดยสรุปที่แน่ชัด เข้าใจง่าย และมีความเชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม ในความหมายของการจัดทำนี้ มิได้ต้องการกระทำในลักษณะของการบัญญัติศัพท์แต่อย่างใด เพียงแค่อยากให้แวดวงเครื่องเสียงในบ้านเรา สามารถเข้าใจในความหมายของคำศัพท์ทางเครื่องเสียงที่ต้องการสื่อนั้นได้อย่างมีแนวทางตรงกัน หรือ ใกล้เคียงกัน เป็นส่วนใหญ่ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ณ ทีนี้
Baffle : ส่วนใหญ่จะพบคำนี้กับแวดวงลำโพงเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีที่ใช้เกี่ยวกับเรื่องของฉากกั้นเสียง (Absorptive Board) ในสตูดิโอที่เอาไว้วางกั้น หรือทำแผงคั่นระหว่างชิ้นดนตรีที่อยู่ใกล้กัน เพื่อทำหน้าที่เป็น Sound Isolation ในเวลาที่มีการบันทึกเสียง ช่วยมิให้เสียงชิ้นดนตรีที่อยู่ใกล้กันนั้น ส่งเสียงปนเปกัน สำหรับในด้านแวดวงลำโพงนั้น Baffle จะหมายถึง ผนังลำโพงแต่ละด้าน ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตู้ลำโพง (Cabinet) รวมทั้งหมดมี 6 ด้าน-ผนังด้านหน้า (Front Baffle)-ผนังด้านหลัง (Rear Baffle)-ผนังด้านข้างซ้าย/ขวา (Left/Right Side Baffle)-ผนังด้านบน/ล่าง (Up/Down Side Baffle) แต่หากเป็นแบบ ไม่มีตัวตู้ลำโพง หรือ มีเฉพาะผนังด้านหน้า (Front Baffle) ด้านเดียว ก็จะเรียกลำโพงแบบนี้ว่า Open Baffle Speaker

Balanced : แม้ว่าคำนี้ ปัจจุบันพบเห็นได้ทั่วไป แต่ในสมัยก่อนนั้นค่อนข้างจะมักคุ้นกันสำหรับเรื่องของแอมปลิฟายด์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับระบบเสียงสเตริโอ (Stereo) ที่มีสัญญาณเสียง 2 แชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวา ฉะนั้นการเป็นแอมปลิฟายด์ระบบเสียงสเตริโอ จึงต้องมีวงจรภาคขยายสัญญาณอย่างน้อย 2 วงจร เพื่อรองรับสำหรับสัญญาณเสียงแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวา ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกของผู้ใช้งานจะได้สามารถตรวจเช็คได้ว่า สัญญาณเสียงแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวาที่ผ่านการขยายสัญญาณของแอมปลิฟายด์แล้วส่งผ่านเข้าสู่ลำโพงนั้น มีระดับความดังเสียงแตกต่างกันไหม?
แอมปลิฟายด์ในสมัยก่อนก็จะได้รับการติดตั้งปุ่มปรับสมดุลเสียง อย่างที่เรียกกันว่า Balanced Control หรือเรียกสั้นๆ ว่า Balanced นี่แหละ สำหรับให้ผู้ใช้งานได้ลองปรับหมุนไปทางซ้าย (Left) เพื่อตรวจเช็คระดับความดังเสียงแชนแนลซ้าย หรือ ลองปรับหมุนไปทางขวา (Right) เพื่อตรวจเช็คระดับความดังเสียงแชนแนลขวา ซึ่งโดยมาก เจ้าปุ่มปรับสมดุลเสียง หรือว่า Balanced นี่จะมีคลิกล็อกเป็น Center Position อยู่ตรงกลาง ที่หากว่า ผู้ใช้งานได้ปรับหมุนปุ่มนี้มาไว้ที่ตำแหน่งคลิกตรงกลาง ก็จะได้ระดับความดังเสียงที่มีความสมดุลกัน (เท่ากัน) ระหว่างแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวา
…ทว่าหากผู้ใช้งานได้ปรับหมุนปุ่มนี้มาไว้ที่ตำแหน่งตรงกลางแล้ว แต่ระดับความดังเสียงระหว่างแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวาไม่มีความสมดุลกัน หรือเสียงดังเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่เท่ากัน ก็จะบ่งบอกได้ว่า สัญญาณขาเข้าที่ป้อนเข้าสู่อินพุตของแอมปลิฟายด์นั้น มีค่าความแรงสัญญาณ (Signal) ของแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวาที่แตกต่างกัน (ไม่เท่ากัน) หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า มีสาเหตุของปัญหามาจากการทำงานของแอมปลิฟายด์ผิดปกติไปนั้นเอง อันเนื่องมาจากการทำงานของวงจรภาคขยายระหว่างแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวาในแอมปลิฟายด์นั้นแหละ มีความไม่สมดุลกัน แต่ในปัจจุบัน แอมปลิฟายด์ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีการติดตั้งปุ่มปรับสมดุลเสียง หรือว่า Balanced นี้กันอีกแล้ว นัยว่า เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของการขยายสัญญาณเสียงที่ไม่ต้องมีเจ้าปุ่มปรับสมดุลเสียงนี้มาคั่นเอาไว้
สำหรับที่บอกว่า Balanced คำนี้ พบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ก็เพราะว่า การออกแบบวงจรขยายสัญญาณสำหรับแชนแนลซ้ายกับแชนแนลขวาในทุกวันนี้ มักได้รับการออกแบบไว้ให้ “สมมาตรกัน” ด้วยการใช้วงจรขยายสัญญาณในแบบที่เรียกว่า Fully Balanced Circuit ที่มีการขยายสัญญาณทั้ง 2 ซีกของค่าเฟส (Phase) < เฟสบวก (+Polarity) และเฟสลบ (-Polarity) > ของขั้วทางไฟฟ้า ผ่านทางช่องเสียบสัญญาณอินพุตที่เป็นแบบ Balanced Connection หรือที่คุ้นเคยกันว่า XLR Connector มิใช่วงจรพื้นฐานเช่นทั่วไปที่มีการขยายสัญญาณเฉพาะซีกบวกของค่าเฟสบวก (+Polarity) ของขั้วทางไฟฟ้าเท่านั้น (ส่วนสัญญาณเฟสลบ ‘-Polarity’ จะต่ออยู่กับกราวนด์) ผ่านทางช่องเสียบสัญญาณอินพุตที่เป็นแบบ Single-Ended Connection หรือที่คุ้นเคยกันว่า RCA Connector
ดังนั้นวงจรขยายสัญญาณในแบบที่เรียกว่า Fully Balanced Circuit ซึ่งมีการขยายสัญญาณทั้งเฟสบวก (+Polarity) และเฟสลบ (-Polarity) ของขั้วทางไฟฟ้า จึงเอื้อประโยชน์ต่อคุณภาพเสียงโดยตรง เนื่องเพราะมีการขยายสัญญาณที่มีความสมมาตรกัน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญที่การเลือกและคัดสรรอุปกรณ์ใช้งานในวงจรขยายสัญญาณทั้งเฟสบวก (+Polarity) และเฟสลบ (- Polarity) นั้นต้อง “เหมือนกัน” (เท่าที่จะทำได้) ให้ตรงกับที่ได้กำหนดไว้ในการออกแบบ มิเช่นนั้น สัญญาณสองซีกของค่าเฟส (Phase) ก็อาจจะให้คุณภาพการขยายสัญญาณที่ไม่เป๊ะๆ ต่อกันอย่างแท้จริง ซึ่งกลายเป็นว่า ส่งผลเสียยิ่งกว่าการขยายสัญญาณอินพุตในแบบ Single-Ended Connection ที่เสียบต่อผ่าน RCA Connector ซะอีก
Band : ถ้าเป็นในทางดนตรี คำนี้จะหมายถึง ความเป็นวงดนตรีที่มีสมาชิกร่วมกัน หรือ กลุ่มของเครื่องดนตรีที่มาเล่นรวมกัน อย่างเช่น Brass Band, Concert Band, Military Band, Marching Band แต่ในแง่เครื่องเสียงนั้น คำนี้จะหมายถึง แถบย่านความถี่ในแต่ละช่วง (Frequency Band) อย่างเช่น ช่วงความถี่เสียงต่ำ (Low Band), ช่วงความถี่เสียงกลาง (Mid Band), ช่วงความถี่เสียงสูง (High Band) หรือ ช่วงความถี่คลื่นวิทยุที่อยู่ติดกัน (เช่น ระบบส่งสัญญาณวิทยุ หรือ โทรทัศน์ในช่วงระหว่างความถี่ที่กำหนดให้) ซึ่งคำว่า Band นี้จะมีศัพท์อีกคำที่ใช้ในความหมายอย่างเดียวกัน นั่นคือ Range

Bass : มีความหมายถึง เสียงเบส อันเป็นเสียงช่วงความถี่ต่ำ (Low Band Frequency) ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงที่ต่ำกว่า 500 เฮิรตซ์ (Hertz) ลงมา
Bass Boost : สำหรับคำว่า Boost นั้นมีความหมายถึง การยก, การเพิ่ม, การยกระดับ, การเสริม(ให้มากขึ้น) ดังนั้น Bass Boost ก็จะบ่งบอกถึง การยกเสียงเบส, การเพิ่มเสียงเบส, การเสริม (ช่วงความถี่ต่ำให้มากขึ้น) ตรงข้ามกับ Bass Cut ที่จะบ่งบอกถึง การตัดเสียงเบส, การลดเสียงเบส, การกด(ช่วงความถี่ต่ำให้น้อยลง) ซึ่งทั้ง Bass Boost และ Bass Cut เป็นลักษณะของการปรับแต่งคุณลักษณ์ทางเสียง หรือ น้ำเสียง (Tone) ของความถี่เสียงที่รับฟัง เน้นให้ยก-เพิ่มเสียงช่วงความถี่ต่ำให้มากขึ้น หรือว่า เน้นให้ตัด-ลดเสียงช่วงความถี่ต่ำให้น้อยลง ซึ่งส่งผลต่อลักษณะของน้ำเสียงโดยรวมที่รับฟัง
Bass Reflex : เป็นคำศัพท์เฉพาะที่บ่งบอกถึง ระบบการทำงานของตัวตู้ลำโพงประเภทที่เรียกกันว่า “ตู้เปิด” รูปแบบหนึ่ง โดยมี ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ (Port) ที่ทำงานสัมพันธ์กับวูฟเวอร์ หรือ เบส/มิดเรนจ์ในการสร้างเสียงที่รับฟัง เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเสียงความถี่ต่ำ โดยทั่วไปมักจะเข้ากันได้ดีกับวูฟเวอร์ หรือ เบส/มิดเรนจ์ที่มีสเปกฯ ค่า Qts ต่ำ โดยที่ ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ (Port) ของตัวตู้ลำโพงแบบ Bass Reflex นั้นจะเป็นตัวทำหน้าที่ส่งเสริมเสียงเบส (Bass Boost) และช่วยเพิ่มค่าความไวเสียง (Sensitivity) หรือ ค่าแรงดันเสียง (Sound Pressure Level-SPL) ของลำโพงโดยรวม ด้วยการเชื่อมต่อมวลอากาศที่อยู่ในตู้ลำโพงกับมวลอากาศภายนอกตู้ลำโพง (ซึ่งก็คือ มวลอากาศภายในห้องที่รับฟังนั่นเอง) ให้ส่งต่อถึงกัน ผ่านทาง ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ ดังนั้น “ลักษณะเสียง” (โดยเฉพาะเสียงในช่วงความถี่ต่ำ) จากตัวตู้ลำโพงแบบ Bass Reflex นั้น มักจะขึ้นอยู่กับปริมาณความจุมาก/น้อยของมวลอากาศภายในห้องที่รับฟัง หรือก็คือกล่าวได้ว่า ขึ้นอยู่กับขนาดเล็ก-ใหญ่ของห้องที่รับฟังนั่นเอง

ขนาดของห้องใหญ่ ลักษณะเสียงที่รับฟังก็มักจะเอื้อต่อความแน่น-หนัก มีแรงปะทะ และรู้สึกถึงความอิ่มใหญ่ของเบส ในขณะที่ขนาดของห้องไม่ใหญ่นัก หรือ ขนาดห้องเล็ก ลักษณะเสียงที่รับฟังก็มักจะเข้มข้น เอิบอิ่ม และรู้สึกถึงความมีน้ำหนักของเสียงย่านความถี่ต่ำ แต่ก็จะโรยตัว (Roll Off) หรือจางหายไปไว อย่างไรก็ตาม ลักษณะเสียงที่รับฟัง ยังมีปัจจัยในเรื่องของตำแหน่งตั้งวางลำโพงในห้องนั้นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
อนึ่ง ตัวตู้ลำโพงแบบ Bass Reflex นั้น มีทั้งที่ ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ (Port) ติดตั้งอยู่ด้านหน้า หรือ อยู่ด้านหลัง หรือแม้กระทั่งติดตั้งไว้ใต้ตัวตู้ลำโพง ในลักษณะที่มีศัพท์เฉพาะเรียกขานว่า Slot Loading ซึ่ง ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ ที่ออกแบบนั้น เป็นไปได้ทั้งแบบ ท่อกลม และ ช่องเปิดรูปวงรี ทั้งนี้ ยังมีระบบตัวตู้ลำโพงประเภท “ตู้เปิด” อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งออกแบบการทำงานของ ‘ท่อ’ หรือ ‘ช่องเปิด’ ที่มีความซับซ้อน และวกวนไป-มา ด้วยความยาวของเส้นท่อที่มากยิ่งกว่าระบบ Bass Reflex โดยมีชื่อเรียกขานว่า Transmission-Line ซึ่งจะได้นำมาพูดถึงกันต่อไป
Bias : โดยทั่วไปนั้น คำนี้จะมีความหมายถึง อคติ, ความโน้มเอียง, ความลำเอียง, ลักษณะเอียง, ทแยง หรือ เฉียง ซึ่งเมื่อถูกนำมาใช้ในแวดวงเครื่องเสียง จึงอธิบายได้ในทำนองว่า เป็นวิธีการของการสร้างแรงดันไฟฟ้า (Voltage) หรือ กระแสไฟฟ้า (Current) ที่กำหนดไว้ ณ ตำแหน่งต่างๆ ของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจุดประสงค์ให้มีสภาวะ “อคติ” ที่เหนี่ยวนำสถานะให้ถึงพร้อมซึ่งการทำงานอันเหมาะสมของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทแอกทีฟ (ทรานซิสเตอร์ หรือ หลอดสุญญากาศ) ในขณะที่ไม่มีสัญญาณอินพุตป้อนเข้ามา…เปรียบไปคล้ายกับการตั้งรอบเดินเบาของรถยนต์ที่เกิดจากปริมาณของอากาศและน้ำมันที่มีความเหมาะสม-ลงตัวกันพอดี เฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์เสียงแอนาล็อกที่จะมีค่าปรับตั้ง (ไบแอส) แตกต่างกัน ซึ่งถือเป็นการปรับประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ โดยอาจทำงานได้กับค่าปรับตั้ง (ไบแอส) ที่หลากหลาย แต่ก็มีจุดที่เหมาะสมที่สุด
Bias Adjust : นับเป็นความจำเป็นสำหรับอุปกรณ์แบบอะนาลอก ที่อาจประกอบด้วยหลอดสุญญากาศ และ/หรือ ทรานซิสเตอร์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หัวใจหลักที่ทำให้อุปกรณ์ทำงานได้คือ วงจรขยายเสียง ซึ่งในอุปกรณ์นั้นๆ อาจใช้หลอด หรือ ส่วนประกอบโซลิด-สเตต อย่างเช่น ทรานซิสเตอร์ หรือ OP Amp หรือ บางประเภทก็ผสมรวมกันในการขยายสัญญาณเสียง ทั้งนี้วงจรขยายเสียงทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหลอดฯ หรือ โซลิด-สเตต จริงๆ แล้วไม่ทำงานอย่างถูกต้อง ในบางกรณี วงจรเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เลย วงจรเหล่านี้มีความเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับปริมาณอินพุตที่ป้อนเข้าไป และวงจรเหล่านี้ยังอาจมีความจำเพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับพลังงานโดยทั่วไป และหากไม่ได้รับการจัดการพลังงานอย่างเหมาะสม ส่วนประกอบต่างๆ อาจไม่ทำงาน หรือทำงานได้แย่มาก เรียกได้ว่า ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
วงจรเหล่านี้มี ‘จุดอ่อน’ หากป้อนพลังงานน้อยเกินไป ก็จะอยู่ต่ำกว่าจุดที่เหมาะสม และสำหรับส่วนประกอบจำนวนมาก ส่วนประกอบเหล่านั้นก็จะไม่ทำงาน หรือหากทำงานได้ ส่วนประกอบเหล่านั้นก็อาจจะเงียบมาก หรือ อาจจะมีเสียงดังมาก แต่หากป้อนพลังงานมากเกินไป ก็จะอยู่เหนือจุดที่เหมาะสม และแม้ว่าส่วนประกอบจะทำงานได้ แต่เสียงอาจผิดเพี้ยน-บิดเบือน หรือ เสียงฟังดูแปลกๆ
ทั้งนี้ ลองเปรียบดูกับการทอดไข่เจียว การหาจุดที่เหมาะสมของการทอดไข่เจียว ก็คือ จุดที่เหมาะสมของอุณหภูมิน้ำมันในกระทะกับไข่ที่ทอด อุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้ไข่สุกเร็วพอที่คุณจะควบคุมได้ เพื่อให้คุณได้ไข่เจียวตามที่ต้องการ แต่ถ้าคุณตั้งอุณหภูมิน้ำมันในกระทะไว้ต่ำเกินไป แล้วตอกไข่ใส่ลงไป ไข่เจียวที่ทอดนั้นก็จะแช่อยู่ในน้ำมันที่ร้อนไม่พอ ไข่เจียวมีสภาพอมน้ำมัน และได้ไข่เจียวไม่สุกอย่างที่ต้องการเลย แต่ถ้าคุณตั้งอุณหภูมิน้ำมันในกระทะให้ร้อนจัด เมื่อคุณตอกไข่ใส่ลงไป น้ำมันร้อนๆ ในกระทะก็จะกระเด็นออกมา เปื้อนเปรอะเลอะเทอะ และอาจถึงขั้นไข่เจียวไหม้ก็ได้
สำหรับเครื่องขยายเสียง “จุดที่ลงตัว” ของการปรับไบอัสก็เพื่อให้ได้มาซึ่งการตอบสนองของเครื่องขยายเสียงเป็นแบบเชิงเส้น (Linearity) ซึ่งหมายความว่า เมื่อวงจรเป็นแบบเชิงเส้น สัญญาณที่ออกมา (เอาต์พุต) จากวงจรก็จะเหมือนกับสัญญาณที่ป้อนเข้าไป (อินพุต) ในวงจรนั้น ดังนั้นสัญญาณที่ออกมาจากเครื่องขยายเสียง จะทรงพลังกว่า (ดังขึ้นจากเดิม) และการตอบสนองความถี่ของเอาต์พุตจะใกล้เคียงกับการตอบสนองความถี่ของอินพุตมากที่สุด กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ สัญญาณเสียงที่เข้าไปจะเหมือนกันกับที่ออกมา แต่ว่าดังกว่าเดิม
ทีนี้หากระดับพลังงานที่ป้อนเข้าไปอยู่ ‘ต่ำกว่า’ บริเวณจุดที่เหมาะสม การตอบสนองก็จะไม่ใช่เชิงเส้น หากคุณป้อนพลังงาน ‘เกินกว่า’ จุดที่เหมาะสม การตอบสนองก็จะไม่เป็นเชิงเส้นเช่นกัน และสิ่งที่ออกมาจากส่วนประกอบจะไม่เหมือนกับสิ่งที่ป้อนเข้าไป ซึ่งนั่นก็คือ ความไม่เป็นเชิงเส้น (Non-Linearity) นั่นเอง “ความไม่เป็นเชิงเส้น” ก็คือ ความเพี้ยนทางฮาร์โมนิก หรือ ฮาร์โมนิกเสียงนั้นไม่ถูกต้อง บิดเบือนไปจากความเป็นจริงนั่นเอง
กล่าวโดยสรุป : การปรับไบแอส (Bias Adjust) ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง “จุดที่ลงตัว” หรือ “จุดที่เหมาะสม” ของการทำงานวงจรขยาย เพื่อให้ได้มาซึ่งการตอบสนองของเครื่องขยายเสียงเป็นแบบเชิงเส้น (Linearity) เสียงที่รับฟังก็จะมีคุณภาพ และถูกต้องเป็นธรรมชาติ < เป็นเชิงเส้น : สิ่งที่ออกมาจะเหมือนกับสิ่งที่เข้าไป/ไม่เป็นเชิงเส้น : สิ่งที่ออกมาได้รับการเปลี่ยนแปลง และแตกต่างจากสิ่งที่เข้าไป (เป็นการบิดเบือนฮาร์มอนิกให้ผิดเพี้ยนไป) >
Bite : อาจจะเป็นคำที่ไม่พบบ่อยนัก โดยในแง่ของคำกริยา คำนี้ มีความหมายว่า ขบ, กัด, งับ ทว่าในแง่ของคำนาม คำนี้ จะมีความหมายว่า ความคม, ชิ้นอาหารส่วนที่กัดออกมา ดังนั้นในทางศัพท์เครื่องเสียง คำนี้น่าจะอนุมาน หมายความถึงว่า เสียงที่มีความคม หรือ เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกกัดหู อันมิใช่เป็นเสียงที่จัดจ้า อย่างที่ใช้คำว่า Bright หรือว่าเป็นลักษณะเสียงที่สากกร้าน อย่างที่ใช้คำว่า Harsh และก็ไม่ใช่ความเป็นเสียงที่คมชัด ฟังแล้วรู้สึกสดชื่น-คึกคัก-กระฉับกระเฉง อย่างที่ใช้คำว่า Crispy
นอกจากนี้ ยังมีความหมายของคำว่า Bite ในด้านของเครื่องดนตรี โดยเป็นสำนวนคำพูด (Colloquial) ที่มักใช้หมายถึง เสียงแวววาวจากการตีเครื่องเคาะจังหวะ หรือ เครื่องดนตรีที่มีเสียงคมขึ้นขอบ (Edge) อย่างเวลาที่ฟังเครื่องเป่าทองเหลืองที่บันทึกเสียงไว้อย่างดี ก็อาจกล่าวได้ว่า เครื่องเป่าทองเหลืองมีเสียงที่แหลมคม ฟังแล้วขึ้นขอบ รู้สึกกัดหูนิดๆ
Boomy : คำนี้ แน่นอนว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องของเสียงเบส ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึง การตอบสนองเสียงเบสที่มากเกินไป หรือเป็นการเสริมเสียงเบสจนเลยจุดสูงสุดในการตอบสนองเสียงของช่วงย่านความถี่ต่ำ ซึ่งเมื่อเกิดสภาวะดังกล่าวขึ้น อาจดูเหมือนว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นคือ เสียง “บูม บูม บูม” ของเสียงดนตรีที่เน้นในช่วงความถี่ต่ำจนกระทั่งล้น หรือ โดดเด่นเกินไป นอกจากนี้ ยังใช้เรียกปรากฏการณ์ทางเสียง หรือ สภาพอะคูสติกในห้องฟังที่มีลักษณะของเสียงเบสบวม-เบสมากเกินไปจนล้นห้อง ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่ระรื่นโสตประสาท และยังเป็นเสียงเบสที่ขาดซึ่งรายละเอียด ปราศจากจังหวะจะโคน มีแต่เสียงย่านความถี่ต่ำ “ตูม ตูม ตูม” ที่บางครั้งอาจเกิดจากความจงใจของการปรับตั้งลักษณะเสียงอันต้องการให้เกิดอาการ Boomy หรือ อาจมีการใช้ซับวูฟเฟอร์เข้าไปช่วยเสริมย่านความถี่ต่ำอย่างเกินพอดี จนได้เสียงที่รับฟังไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น
____________________