THE PERFECTION and NEW ERA. Compact Disc Digital Audio (ตอนจบ)

0

ภาค 3 (ตอนจบ) มาตามต่อกันด้วยเรื่องหลัก ที่นับเป็น “แก่น” หรือ Core ของการก้าวเข้าสู่แนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ความเป็น CD ในแนวทางที่เป็นจริง ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ ท่าน (อาจ) ไม่เคยรู้ เนื่องเพราะได้รับการบันทึกไว้ ทว่าไม่เคยถูกนำมาเปิดเผยมาก่อน – ก็เป็นได้…

Consumable Technology

ระบบเสียงดิจิทัล คอมแพ็กต์ ดิสก์ที่พัฒนาโดย PHILIPS มีพื้นฐานมาจากส่วนประกอบทางเทคนิคขั้นสูงหลายชุด ซึ่งแตกต่างจากระบบแผ่นเสียงไวนิลที่รับรู้ได้โดยหลักการแปรสัญญาณแรงสั่นสะเทือน ระบบการสร้างเสียงที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน ทว่ามีคุณลักษณะทางเทคนิคพิเศษ เช่น การสแกนเลเซอร์แบบไร้สัมผัส (Contactless Laser Scanning), การเข้ารหัสดิจิทัล (Digital Coding), และขั้นตอนแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Correction) คอมแพ็กต์ ดิสก์ได้รับความนิยมภายในเวลาไม่กี่ปี หลังจากเปิดตัวสู่ตลาดในปี ค.ศ. 1982/83 แต่กลับแทบจะยุติประเพณีเก่าแก่เกือบศตวรรษของแผ่นเสียงไวนิลลงจากบัลลังก์ ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เน้นการวิจัยเป็นหลักเป็นการรับประกันความสำเร็จในตลาด

อันที่จริง เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดแล้ว ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่า ความสัมพันธ์เชิงเหตุปัจจัยนี้เป็นจริง เมื่อพิจารณาถึงการพัฒนาระบบแผ่นซีดี จะเห็นได้ชัดว่า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงสามารถส่งผลกระทบทางอ้อมต่อระดับความสำเร็จทางตลาดได้ดีที่สุด การใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วอย่างสูงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ในภายหลัง และสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูปจึงถูกมองว่า เป็นเพียงกล่องดำ (Black Box) เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะดูน่าดึงดูดใจในสายตาของผู้บริโภคเพียงใดก็ตาม ก็สามารถทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจให้ซื้อสินค้าได้เพียงในระดับหนึ่งเท่านั้น กระนั้นก็ดูเหมือนว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเป็นคอมแพ็กต์ ดิสก์นั้น รู้ตั้งแต่แรกว่า “มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตลาดรองรับ”

“Pulse Code Modulation” (PCM)

เมื่อเปรียบเทียบกับการมอดูเลตแบบ เดลต้า กระบวนการ PCM เชิงเส้น (Linear PCM หรือ LPCM) ถือเป็นวิธีการแปลงสัญญาณดิจิทัลที่ให้คุณภาพเสียงสูง แต่มีข้อมูลจำนวนมาก การสั่นของเสียงแบบอะนาลอกจะถูกวัดอย่างพิถีพิถันในช่วงคาบเวลาที่สม่ำเสมอ (Regular Time Intervals) ผลลัพธ์ของการตรวจจับ-วัดค่าเหล่านี้ ซึ่งดำเนินการมากกว่าสี่หมื่นครั้งต่อวินาทีสำหรับแต่ละช่องสัญญาณเสียง จะแสดงเป็นตัวเลขคู่ 14 ถึง 16 หลัก (14 to 16-digit) โดยไม่คำนึงว่า สัญญาณเสียงจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ด้วยข้อมูลจำนวนมากนี้ สัญญาณเสียงต้นฉบับจะได้รับการบันทึกอย่างแม่นยำ และสามารถสร้างขึ้นใหม่จากการตรวจจับ-วัดค่าข้อมูลที่อยู่ใกล้เคียงได้ (Reconstructed From Neighbouring Measurements) ในกรณีที่ข้อมูล PCM ล้มเหลว  หรือ สูญหายไปชั่วขณะ

เมื่อพิจารณาจากข้อบกพร่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการผลิต ALP การใช้กระบวนการดิจิทัลที่ให้ความเป็นไปได้ในการปกปิดข้อผิดพลาดในการอ่านข้อมูลจึงสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บนั้น-เป็นปัญหา ความต้องการทั้งสองประการในด้านหนึ่งเพื่อลดเส้นผ่านศูนย์กลางของ ALP และอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สามารถจัดเก็บโปรแกรมควอดราโฟนิก (Quadraphonic) ความยาวหนึ่งชั่วโมงได้นั้นไม่สามารถรักษาไว้ได้ เมื่อใช้ PCM

…เป็นอีกครั้ง การพิจารณาเชิงกลยุทธ์ของตลาดทำให้มีทางเลือกในการบันทึกข้อมูลควอดราโฟนิก โดยหันไปใช้ขนาดที่เล็กกว่า ในที่สุด ALP แบบกะทัดรัด ซึ่งเปิดตัวเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพของแผ่นเสียงในตลาดเพลงสเตอริโอขนาดใหญ่ที่ได้รับการยอมรับอาจมีโอกาสมากกว่า Quadro-ALP ในรูปแบบที่ใหญ่กว่า ซึ่งในช่วงแรกจะเข้าถึงได้เฉพาะตลาดควอดราโฟนิกขนาดเล็กที่ให้ความแปลกใหม่-เฉพาะทางเท่านั้น

Market Considerations

ในช่วงปี ค.ศ. 1977 เป็นที่ชัดเจนว่าโครงการ ALP ไม่สามารถดำเนินการต่อภายใต้เงาของ VLP ได้ ความสัมพันธ์ทางเทคนิคระหว่าง ALP และ VLP ถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เนื่องมาจากการเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีดิจิทัล แต่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่วางแผนไว้กับ VLP ยังส่งผลให้โครงการ ALP มีความเป็นอิสระมากขึ้นด้วย นอกจากขนาดที่กะทัดรัดมากขึ้นของดิสก์แล้ว ยังรวมถึงการพิจารณาจากหลายปีก่อนที่จะแทนที่เลเซอร์แก๊สของ VLP ด้วยเลเซอร์เซมิคอนดักเตอร์ขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถสร้างเครื่องเล่นที่มีขนาดกะทัดรัดเท่ากันได้ด้วยวิธีนี้

โครงการ ALP มาถึงจุดที่ศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาก่อนหน้านี้ไม่เพียงพออีกต่อไปในการบรรลุเป้าหมายทางเทคนิคที่ทะเยอทะยาน เพื่อให้แน่ใจว่า การพัฒนาต่อไปจะมีความสม่ำเสมอ จึงจำเป็นต้องโอนย้าย ALP ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนจำนวนเล็กน้อยจากกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องเสียงหลัก จากระยะการพัฒนาเบื้องต้นไปสู่ระยะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในวงกว้างที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Philips เป็นที่สงสัยว่า โอกาสทางการตลาดในภายหลังของ ALP จะเพียงพอที่จะดำเนินการดังกล่าวได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่สูง Ottens นั้นกลัวว่า ระดับต้นทุนการพัฒนา ALP ที่คาดเดาไม่ได้จะส่งผลเชิงลบต่อการตัดสินใจของ “คณะกรรมการโปรแกรม” (Programme Committee) ที่รับผิดชอบในกรณีที่มีข้อสงสัย ดังนั้น เขาจึงพยายามพิจารณาผลกำไรจากการใช้จ่ายดังกล่าวด้วยวิธีอื่น

แทนที่จะชั่งน้ำหนักต้นทุนการพัฒนาที่เป็นไปได้โดยสัมพันธ์กับยอดขายที่ทำได้ในภายหลัง Ottens ได้มุ่งเน้นการพิจารณาไปที่ต้นทุนที่เป็นไปได้ของอุปกรณ์เล่น ALP หากในภายหลังมีการผลิตเครื่องเล่น ALP ในปริมาณมาก ต้นทุนการพัฒนาใดๆ ก็จะส่งผลต่อราคาของอุปกรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และส่งผลต่อโอกาสทางการตลาดด้วย ปัจจัยที่ชี้ขาดคือ ต้นทุนวัสดุที่เกิดจากปริมาณวัสดุที่ใช้ ปัญหาเฉพาะอย่างหนึ่งเกี่ยวกับออปติกส์ก็คือ การขาดความรู้เกี่ยวกับต้นทุนการผลิตเลเซอร์เซมิคอนดักเตอร์ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

ซึ่งได้รับการวางแผนไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะใช้ทดแทนเลเซอร์แก๊สของ VLP แต่ก็มีจำหน่ายเฉพาะในตลาดโลกในรูปแบบของต้นแบบที่มีราคาแพง เนื่องจากตลาด (ในเวลานั้น) ยังไม่พร้อม อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับ “แนวทาง” ในเวลาต่อมาของ Ottens ซึ่งได้ประมาณต้นทุนการผลิตของส่วนประกอบที่แปลกใหม่นี้ไว้ด้วย “…นั่นคือ เมื่อคุณสามารถผลิตเลเซอร์โซลิดสเตทได้ มันจะเป็นวัสดุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าจะแพง ไม่มีอะไรในโซลิดสเตทเลเซอร์ที่แพงเกินไป”

เลนส์ออปติกที่จำเป็น ซึ่งต้องวางไว้เหนือเลเซอร์เพื่อโฟกัสลำแสง ยังทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในการคำนวณของ Otten ในการออกแบบที่เสนอโดย Rodenstock ในตอนแรกให้เป็นเลนส์วัตถุของกล้องจุลทรรศน์แบบหลายเลนส์ ซึ่งอีกครั้ง, เป็นข้อเสนอของห้องปฏิบัติการวิจัยที่จะแทนที่เลนส์แก้วทรงกลม กล่าวคือ เจียรเป็นส่วนๆ ของพื้นผิวทรงกลม ด้วยลักษณะของ Spherical Glass Lenses เพียงอันเดียว ที่มีความโค้งของพื้นผิวที่เปลี่ยนแปลงคงที่ตลอดเวลา (Constantly Changing Surface Curvature) หากผลิตเลนส์ดังกล่าวในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกที่มีความแม่นยำสูง เลนส์ดังกล่าวจะไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยต้นทุนที่แทบจะละเลยได้ในการผลิตจำนวนมากในภายหลังเท่านั้น แต่ยังช่วยให้โฟกัสได้ง่ายขึ้นเนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าอีกด้วย

หลังจากที่ Ottens ได้รวบรวมต้นทุนของส่วนประกอบทั้งหมดที่จำเป็น (ด้วยความมองโลกในแง่ดี) จึงได้ข้อสรุปว่า อาจสามารถผลิตเครื่องเล่น ALP ได้ในราคาประมาณ 150 กิลเดอร์ หากผลิตในปริมาณที่เหมาะสม ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่น่าดึงดูดและราคาไม่แพง ซึ่งดูน่าดึงดูดใจแม้แต่สำหรับคณะกรรมการโครงการของ Philips ทาง Ottens จึงสามารถโอนโครงการขนาดเล็กของเขาที่มุ่งมั่นมาเป็นเวลานานให้กลายเป็นโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการได้สำเร็จ หลังจากนำเสนอผลการวิจัยจนถึงปัจจุบันต่อคณะกรรมการบริหารของ Philips ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1977 จึงได้เริ่มดำเนินการพัฒนาซีดี

Coordination and cooperation (1978 – 1980) – CD-Lab and Marketing

ด้วยการเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างเป็นทางการ Joop J.G.Ch. van Tilburg ซึ่งในขณะนั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการทั่วไปเพียงคนเดียวของกลุ่มอุตสาหกรรมเสียงหลัก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรของกลุ่ม Philips มองเห็นโอกาสอันหายากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเทคนิคและการพิจารณาเตรียมการสำหรับการเปิดตัวสู่ตลาดในเวลาเดียวกัน จากคำกล่าวของเขาที่พูดว่า “ไม่ใช่ว่า {…} คุณมีผลิตภัณฑ์ก่อนแล้ว {…} จึงค่อยเริ่มคิดว่า จะทำตลาดอย่างไร”

กิจกรรมทางการตลาดอย่างหนึ่งในช่วงแรกคือ การกำหนดชื่อผลิตภัณฑ์ Van Tilburg (ซึ่งไม่ใช่ช่างเทคนิค) มองว่า ขนาดกะทัดรัดเป็นข้อได้เปรียบที่ทุกคนเข้าถึงได้มากที่สุดของตัวพาเสียงประเภทใหม่ ข้อดีอื่นๆ เช่น การสแกนด้วยเลเซอร์แบบออปติคัลและการเข้ารหัสแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งใหม่โดยสิ้นเชิงสำหรับการใช้งานของผู้บริโภค จำเป็นต้องมีคำอธิบายโดยละเอียดมากขึ้น ดังนั้น เขาจึงยินดีแทนที่ชื่อที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่าง “ALP” ด้วย “Compact Disc” ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึง “Compact Cassette” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก (ซึ่งก็พัฒนาโดย Philips เช่นกัน) แม้ว่าพนักงานของเขาจะเสนอแนะชื่ออื่นๆ เช่น “Laser Disc”; “Minirack”; “Mini Disc” หรือ “Compact Rack” แต่สุดท้ายแล้ว Van Tilburg ก็ยึดตามข้อเสนอแนะแรกของตัวเขา

ในด้านองค์กร จุดเริ่มต้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์สะท้อนให้เห็นจากการก่อตั้งห้องปฏิบัติการซีดีแยกต่างหากที่เรียกว่า “CD-Lab” และการเพิ่มจำนวนพนักงาน หัวหน้าแผนกนี้ของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องเสียงหลักที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปี ค.ศ. 1978 คือ Joop P. Sinjou ซึ่งเคยดูแลแผนกย่อยของโครงการ VLP มาก่อน ภารกิจของห้องปฏิบัติการนี้คือ การสร้างต้นแบบเครื่องเล่นซีดีรุ่นแรก ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเทคนิคทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังต้องดึงดูดสายตาจากภายนอกด้วย เพื่อที่เครื่องนี้จะสามารถนำไปสาธิตเป็นแบบจำลองสำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นต่อๆ ไป

Compact Disc and Pinkeltje

เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดสองประการ ได้แก่ ความสามารถในการขยายทางเทคนิค และความน่าสนใจทางสายตา Sinjou จึงแบ่งระบบเล่นซีดีออกเป็นสองส่วน:- ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งในตอนแรกมีจำนวนมาก เนื่องจากต้องใช้ส่วนประกอบแยกส่วน ได้ถูกสร้างเป็นกรอบในรูปแบบของโต๊ะ (Table) บน “โต๊ะ” นี้มีเครื่องเล่นโลหะขนาดเล็กวางอยู่ ซึ่งนอกจากองค์ประกอบการทำงานที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ยังมีไดรฟ์ดิสก์เชิงกล (Mechanical Disc Drive) พร้อมอุปกรณ์อ่านข้อมูลออปติคัล (Optical Read-Out Device) เป็นส่วนใหญ่

ในระหว่างการสาธิต – ไม่เพียงแต่เพื่อเหตุผลด้านสุนทรียศาสตร์ – สามารถวางผ้าไว้บนโครงโต๊ะ ซึ่งมักเรียกกันว่า “ลูกบาศก์เมตรของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์” (Cubic Metre Of Electronics) เพื่อสร้างความประทับใจว่า ไดรฟ์เชิงกลเพียงอย่างเดียวเป็นอุปกรณ์เล่นเพลงที่ถาวรอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากการแบ่งส่วนที่เป็นประโยชน์ออกเป็นสองส่วนนั้น ทำให้สามารถทำให้หน่วยเล่นเพลงดูเหมือนผลิตภัณฑ์รุ่นต่อๆ มาได้ (ข้อมูลจำเพาะภายนอกทั้งหมดจึงสามารถและต้องกำหนดตั้งแต่เริ่มต้น)

ข้อมูลจำเพาะภายนอกที่สำคัญที่สุดของเครื่องเล่นแผ่นซีดีคือ การกำหนดลักษณะของตัวพาเสียงที่จะเล่น แผ่นซีดีชุดแรกๆ จะบันทึกทั้งสองด้านในลักษณะเดียวกับแผ่น VLP แบบพลาสติก ที่สามารถผลิตซ้ำได้ในปัจจุบัน หรือประกอบด้วยสองด้านที่ผลิตแยกกัน เพื่อป้องกันการเกิดการบิดเบี้ยวอันเนื่องมาจากความชื้น (Moisture-Induced Warping) ด้วยโครงสร้างแบบสมมาตร (Symmetrical Construction) เนื่องจากมี 2 ด้าน จึงสามารถลดเส้นผ่านศูนย์กลางของแผงลงเหลือเพียง 10 ซม. ได้ในทางทฤษฎี โดยใช้เวลาเล่นได้หนึ่งชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม การติดฉลากเนื้อหาที่อ่านได้รอบรูแกนกลาง ทั้งสองด้านของแผ่นดิสก์ขนาดเล็กดังกล่าวจะทำให้ใช้แถบด้านนอกที่ค่อนข้างแคบสำหรับข้อมูลเสียงได้เท่านั้น การเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางของแผ่นดิสก์เพียงเล็กน้อยให้เท่ากับแนวทแยงมุมของตลับเทปขนาดกะทัดรัด 11.5 ซม. ซึ่ง van Tilburg เรียกร้องไว้แล้ว ทำให้สามารถเพิ่มพื้นที่บันทึกได้อย่างมาก แทนที่จะต้องพลิกแผ่นดิสก์ขนาด 10 ซม. หลังจากเล่นผ่านไปสูงสุด 30 นาที ซึ่งด้วยซีดีขนาด 11.5 ซม. ทำให้สามารถเล่นได้นานถึง 60 นาทีต่อด้านเป็นอย่างน้อยในทางทฤษฎี

การตัดสินใจเลือกใช้เส้นผ่านศูนย์กลาง 11.5 ซม. นั้นมาพร้อมกับแนวคิดในการผลิตซีดีในภายหลังโดยใช้แผ่นพิมพ์ด้านเดียว ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการใช้โครงสร้างแบบแซนวิช (sandwich construction) ทางเลือกในการผลิตเครื่องเล่นซีดีสำหรับรถยนต์ในภายหลังนั้น ยังคงสามารถเปิดเผยได้ด้วย โดยใช้เส้นผ่านศูนย์กลาง 11.5 ซม. ทั้งนี้ไดร์ฟซีดีแบบสมบูรณ์ที่มีขนาดเท่ากับช่องเสียบวิทยุในรถยนต์มาตรฐานยังคงเป็นไปไม่ได้ แต่ตัวไดร์ฟซีดีเองก็ใส่เข้าไปได้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่อาจจะปั๊มแผ่นซีดีบนด้านเดียวได้ ซึ่งภายหลังทำได้โดยการเปลี่ยนจาก Polymethacrylate (กระจกอะคริลิก) มาเป็นโพลีคาร์บอเนตสำหรับวัสดุพาหะ (Carrier Material) ของพาหะเสียง แต่ด้วย Polygram ทำให้ในเวลานั้น ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะสามารถผลิตไดร์ฟซีดีแบบสมบูรณ์ได้  ด้วยว่า ในเวลานั้น ยังไม่เป็นที่คาดการณ์ว่า จะสามารถปั๊มเนื้อหาของซีดีได้เต็มหน้า โดยไม่ต้องติดฉลากที่รูแกนกลาง (Axle-Hole Label) มิฉะนั้น เส้นผ่านศูนย์กลางรูแกนกลางของซีดีที่ 15 มม. ซึ่งออกแบบมาเพื่อติดฉลากและต่อมาได้มาตรฐาน จะต้องขยายให้ใหญ่ขึ้นอีก เพื่อให้หยิบจับได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากเครื่องเปลี่ยนซีดีอัตโนมัติ (CD Changers)

“Johanna”, “Kidogo” and “Pinkeltje”

รูปลักษณ์เริ่มแรกของแผ่นซีดีสะท้อนแสงสีเงินสองด้านมีอิทธิพลต่อภายนอกของเครื่องเล่น เช่นเดียวกับเครื่องเล่น VLP แนวคิดที่ว่า ตัวพาหะเสียงที่มองเห็นได้จากภายนอกระหว่างการเล่นจะแสดงให้เห็นถึง ความแปลกใหม่ของระบบ และด้วยความโปร่งใสตามตัวอักษร จึงทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีที่ไม่รู้จักได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ไดรฟ์ทดสอบเชิงกลจึงได้รับการออกแบบให้เป็น “ไดรฟ์แบบเปิดใส่แผ่นด้านบน” (Top Loader) ฝาเปิดด้านบนพร้อมช่องมอง (Viewing Window) สำหรับเปลี่ยนแผ่นซีดีถือเป็นองค์ประกอบการออกแบบที่สำคัญของตัวเครื่องที่สง่างาม แบบตั้งวางบนโต๊ะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม หน่วยนี้ซึ่งตั้งใจให้มีขนาดเล็กเพื่อการใช้งานสาธิตในภายหลัง ได้รับการตั้งชื่อเรียกขานกันเล่นๆ (Nickname) เช่นเดียวกับหน่วยทดสอบแบบอะนาลอกและดิจิทัลทั้งหมดก่อนหน้านี้ หลังจาก “Johanna” และ “Kidogo” สำหรับอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ ALP ที่ใช้ก่อนหน้านี้ ไดรฟ์พัฒนาและสาธิตใหม่ได้รับการขนานนามภายในว่า “Pinkel” หรือ “Pinkeltje” (ตามชื่อคนแคระจากนิทานพื้นบ้านของชาวดัตช์)

Audio Sample

เนื่องจากบริษัทอื่นๆ เริ่มพัฒนาระบบเสียงของแผ่นภาพต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทั้ง van Tilburg, Ottens และ Sinjou จึงได้ตกลงกันว่า การพัฒนาแผ่นซีดีต่อไปนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแผ่นซีดีไม่ใช่ผลิตภัณฑ์แบบสแตนด์อโลนที่ Philips สามารถแนะนำสู่ตลาดได้ตามต้องการ แต่เป็นระบบเครื่องเล่นและตัวนำพาสัญญาณเสียง (Player And Sound Carrier) ดังนั้นการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมเครื่องบันทึกเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้น สำหรับความสำเร็จของผลิตภัณฑ์

หากปราศจากความเต็มใจของสำนัก-สังกัดเพลง และบริษัทบันทึกเสียงที่จะเผยแพร่เพลงภายใต้สัญญากับพวกเขาในสื่อบันทึกประเภทใหม่นี้ เทคโนโลยีซีดีไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงใดก็จะต้องประสบความล้มเหลวในตลาด ซึ่งแตกต่างจากเครื่องบันทึกวิดีโอที่มีความสามารถในการบันทึกได้เองนั้น หมายความว่า ระบบต่างๆ หลายระบบสามารถยืนหยัดในตลาดได้ชั่วระยะหนึ่ง การแนะนำระบบบันทึกเสียงใหม่ๆ หลายระบบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากต้องพึ่งพาซอฟต์แวร์ดนตรีสำเร็จรูปอย่างสมบูรณ์ ประการต่อมา การโน้มน้าวให้อุตสาหกรรมแผ่นเสียงยอมรับระบบเสียงที่สอง – นอกเหนือจากแผ่นเสียงก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก …เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านการพัฒนาของระบบแผ่นซีดี ที่เหนือวิธีการอื่นๆ จึงมีการใช้ต้นแบบ “Pinketje” สำหรับการสาธิต ต่อมาในเวลาไม่นานหลังจากเริ่มใช้งานในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1978

แม้ว่าจะใช้เวลาถึงเดือนมีนาคม  ค.ศ. 1979 กว่าที่นักพัฒนาระบบแก้ไขและอำพรางข้อผิดพลาด (Error Correction And Concealment System) ของ Lorend Vries และผู้ช่วยของเขา Theo Diepeveen จาก Nat.Lab จะปรับปรุงวงจรที่พวกเขาพัฒนาขึ้น จนสามารถขจัดเสียง “คลิก” (Tictic) ออกไปได้ แต่การทดสอบการฟังในช่วงแรกๆ ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่น่าทึ่ง เมื่อทราบดีว่า บริษัทอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคของญี่ปุ่น Matsushita Electric Industrial Co. (MEI) กำลังดำเนินการพัฒนาระบบ VHD (“Video High Density”) ภาคเสียง (Audio Version) ภายใต้ชื่อแบรนด์ JVC (Victor Company of Japan) จึงมีการจัดการสาธิตแผ่นซีดีไว้ในช่วงที่เซ็นสัญญากับ Matsushita ในเมือง Eindhoven ซึ่งผู้ก่อตั้งและหัวหน้าอาวุโสอย่าง Konosuke Matsushita เองก็ต้องการเข้าร่วมด้วย

Mr.Konosuke Matsushita

Nico Rodenburg ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Philips Group ทราบเพียงแต่การพัฒนาคอมแพ็กต์ดิสก์เท่านั้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดใดๆ มาก่อน ได้ให้คนญี่ปุ่นสาธิตระบบบันทึกเสียงให้ชมก่อนที่คณะผู้แทนจะมาถึง และแสดงท่าทีกระตือรือร้น ต่อมา เมื่อทาง Matsushita ได้ชมการสาธิตซีดีเป็นครั้งแรก ในตอนแรกเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา จนกระทั่งเครื่องเล่น “Pinkeltje” เปิดตัวหลังจากการสาธิต และได้นำแผ่นพาหะเสียงขนาดเล็ก (Small Sound Carrier) ออกมา เขาก็ส่งเสียงครางเบาๆ ยาวๆ ออกมาทันที, Lou Ottens ซึ่งรู้จัก Matsushita มาตั้งแต่การเจรจาเรื่องตลับเทปคาสเซ็ท (Compact Cassette) ในปี ค.ศ. 1965 จำ “สัญลักษณ์แห่งอารมณ์สูงสุด” ของคนญี่ปุ่นนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ:-

            “เขาหยิบผ้าสีเขียวจากเครื่องเล็กๆ และหยิบแผ่นดิสก์ออกมา แล้วมัตสึชิตะผู้เฒ่าก็พูดว่า “ซิบซิบซิบซิบซิบ!!!” สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว นี่คือ การแสดงอารมณ์ที่สูงสุดอย่างแท้จริง… ฉันยังเห็นเขาทำอยู่เลย ฉันไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นทำมาก่อน… พวกเขาตกตะลึงกันมาก!” (“He took the green cloth from the little machine and he took the disc out of it, and the old Matsushita said: “Tssssssssss!!!” For a Japanese this is the absolute maximum […] sign of emotion that exists… I still see him do it. I never saw it before that a Japanese… They were absolutely flabbergasted!”)

Lou F. Ottens มองว่าปฏิกิริยาดังกล่าวเป็นการยืนยันว่า ได้เลือกคุณลักษณะพื้นฐานของระบบแผ่นซีดีอย่างถูกต้อง เพื่อทดแทนการวิเคราะห์ตลาด เขาตระหนักว่า แผ่นซีดีจะได้รับความนิยมในตลาดเช่นกัน ต่อมา Ottens ได้กำหนดเหตุผลที่ทำให้เขามองว่า แผ่นซีดีมีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นพิเศษ และขยายความให้กว้างขึ้นเป็นหลักการอื่นของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค: The law of consumer electronics (Conditions for Success)

ผลิตภัณฑ์ใหม่จะสามารถแทนที่มาตรฐานที่กำหนดไว้ได้ หากเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างน้อย 2 ใน 5 เงื่อนไขต่อไปนี้:

การทำให้มีขนาดเล็กลง ((Miniaturisation – การลดขนาดผลิตภัณฑ์ หรือ ส่วนประกอบที่จำเป็น)

การลดการใช้พลังงานลงอย่างมาก หรือ ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายแหล่งจ่ายไฟ (Substantial reduction in energy consumption)

การทำงานที่ง่ายขึ้น (Simpler operation)

ประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น (Increase in performance) อย่างเช่น คุณภาพเสียงของแผ่นซีดีดีขึ้น

• ราคาที่ลดลง (Lower price) อย่างเช่น “ยุคคอมพิวเตอร์” ซึ่งเกิดจากพีซีราคาไม่แพง

Presentations

นอกจากการเลือกข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแล้ว ยังจำเป็นต้องเอาชนะอุปสรรค 3 ประการที่มีลักษณะทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำแผ่นซีดีออกสู่ตลาดได้สำเร็จ อุปสรรคเหล่านี้มีหลากหลายและขัดแย้งกันเป็นบางส่วน ซึ่งหากขาดการประสานงานร่วมกัน การนำระบบซีดีไปใช้ก็ไม่สามารถรับประกันได้ ประการหนึ่ง ผู้ผลิตที่แข่งขันกันมีความสนใจอย่างมากที่จะสร้างเวอร์ชันเสียงของระบบแผ่นภาพ (Picture Disc Systems) ของตนเองออกสู่ตลาด เพื่อชดเชยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำไป

ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์นี้ถูกขัดขวางด้วยความสนใจพื้นฐานของผู้บริโภคที่ไม่ต้องการเสี่ยงต่อมูลค่าในระยะยาวของคอลเลกชันแผ่นเสียงของตนเอง ด้วยการเปลี่ยนระบบหรือระบบต่างๆ ที่ไม่เข้ากัน นอกจากนี้ ยังต้องเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มฟิลิปส์ในการระดมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ Compact Disc Digital Audio System ที่มีแนวโน้มดีกลายเป็นมาตรฐานระดับโลกเพียงหนึ่งเดียว และเอาชนะคู่แข่งให้ได้มากที่สุดในฐานะผู้ได้รับอนุญาตสิทธิ์

การสาธิตแผ่นซีดีต้นแบบเพิ่มเติมได้รับการประสานงาน โดยมีเป้าหมาย 3 ประการที่แตกต่างกันนี้ ภายในกลุ่ม มีการจัดแสดงสาธิตให้กับคณะกรรมการของ Philips ในเมือง Eindhoven ให้กับผู้บริหารระดับสูงระดับนานาชาติของ Philips ในการประชุมประจำปีที่เมือง Ouchy ใกล้กับเมือง Lausannes และให้กับบริษัทในเครือ PolyGram ในเมือง Baarn ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ซื้อที่สนใจซื้อแผ่นซีดี, สื่อมวลชนต่างประเทศได้รับเชิญให้เข้าร่วมการสาธิตแผ่นซีดี และเข้าร่วมการแถลงข่าวในเมือง Eindhoven เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1979 ซึ่งในท้ายที่สุด, เพียงไม่กี่วันต่อมา เทคโนโลยีแผ่นซีดีทั้งหมดก็ถูกนำไปจัดแสดงที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาดังกล่าวให้กับบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภครายใหญ่ของญี่ปุ่นทุกแห่ง

เนื่องจากการสาธิตทั้งหมดอาจมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของโครงการซีดี จึงได้มีการใช้มาตรการป้องกันพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเกิดความล้มเหลวระหว่างการสาธิต โดยได้มีการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกขานว่า “Cubic Metre” รุ่นเดียวกันขึ้นมาหลายตัว รวมถึงเครื่องเล่น “Pinkeltje” และแผ่นซีดีทดสอบ เพื่อให้พร้อมสำหรับการสาธิตได้เสมอ ซึ่งก่อนการสาธิตแต่ละครั้ง “ต้นแบบ” (Prototypes) จะได้รับการปรับเทียบใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนที่เกิดจากการขนส่งหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

ด้วยมาตรการป้องกันเหล่านี้ จึงสามารถนำเสนอระบบซีดีได้เกือบทั้งหมดโดยไม่มีข้อผิดพลาดทางเทคนิค ความล้มเหลวในการใช้งานเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดในเครื่องเล่นกลับ (Playback Unit) เกิดขึ้นระหว่างการสาธิตซีดีในเมืองมิวนิกต่อหน้าคณะกรรมการบริหารของ Philips และ Siemens ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของ PolyGram

การสาธิตความไม่ไวต่อลายนิ้วมือของซีดี (The demonstration of the CD’s insensitivity to fingerprints) ซึ่งประธานบริษัท Philips นาย Nico Rodenburg ตั้งใจไว้นั้นล้มเหลว เนื่องจากไม่สามารถเล่นแผ่นพาหะเสียงที่ส่งไป-มาในห้องประชุมได้อีกต่อไปในระหว่างการสาธิตครั้งต่อมา อย่างไรก็ตาม Hans Mons ซึ่งคอยตรวจสอบการทำงานของระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เล่นเพลงระหว่างการนำเสนอ สามารถเอาชนะจุดอ่อนของระบบซีดีที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ในเรื่องของการปนเปื้อนของแผ่นดิสก์ออปติคัลได้ด้วยการทำความสะอาดพื้นผิวการอ่านข้อมูลด้วยตนเอง

Competition and Cooperation: The Trip to Japan

Philips มีความมั่นใจอย่างยิ่งในการเผชิญหน้ากับการเกิดขึ้นของโครงการบันทึกเสียงที่กำลังแข่งขันกัน เป็นเรื่องจริงที่ข้อมูลจำเพาะของระบบเสียงดิจิทัลแยกย่อยอื่นๆ ของระบบแผ่นภาพ เช่น “Mini-Disk” ของ AEG-Telefunken หรือระบบ “AHD” (Audio High Density) ของ JVC รวมถึงข้อเสนอจาก Hitachi, Matsushita, Mitsubishi, Pioneer, Sanyo, Sharp, Sony, TEAC และ Toshiba ได้รับการจดบันทึกอย่างรอบคอบโดย Joop P. Sinjou หัวหน้าห้องปฏิบัติการซีดี (CD laboratory) แต่เนื่องจากเชื่อมั่นว่า แผ่นซีดีสามารถเทียบเคียงได้ จึงไม่มีระบบที่แข่งขันกันใดเลยที่จะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาซีดีในแง่ของพารามิเตอร์ทางเทคนิค

Mini-Disk ของ AEG-Telefunken

แม้ว่าเทคโนโลยีระบบแผ่นซีดีจะมีแนวโน้มที่ดี แต่กระนั้นการแข่งขันระหว่างระบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงที่ระบบสื่อเสียงที่ด้อยกว่าซีดีในทางเทคนิคจะเข้ามาแทนที่ในตลาดรุ่นหลัง ตัวอย่างเช่น เนื่องจากปริมาณตลาดที่เกิดจากผู้ได้รับอนุญาตจำนวนมาก ระบบ “VHS” ของ JVC จึงสามารถเอาชนะระบบ “Betamax” ของ Sony ซึ่งไม่เพียงแต่มีคุณภาพสูงกว่า แต่ยังวางจำหน่ายในตลาดก่อนหน้านี้แล้ว สถานการณ์ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ Philips อยู่แล้ว เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์คู่แข่งที่ประกาศขายมากมายจนสับสนนั้น ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเนื่องจากการแทรกแซงของ MITI (Ministry of International Trade and Industry – กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม) ของญี่ปุ่น

ต่อมาจึงได้ริเริ่มจัดตั้ง “การประชุมมาตรฐานแผ่นเสียงดิจิทัล” (Digital Audio Disk Standardisation Conference หรือ “DAD”) ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1978 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานของแผ่นเสียงดิจิทัลและกำหนดมาตรฐานที่เหมาะสม” เพื่อให้การดำเนินการซึ่งในมุมมองของ Philips นั้นน่าสงสัยนี้ดำเนินไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นซีดี ทาง Philips จึงตัดสินใจดำเนินการเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็พิสูจน์ได้ว่า มีความจำเป็นต่อความสำเร็จในตลาดของแผ่นซีดี นั่นคือ การร่วมมือกับคู่แข่งชาวญี่ปุ่น

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า Compact Disc ถือเป็นแนวคิดที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยที่ J.J.G.Ch. van Tilburg ได้ประเมินว่า ความพยายามในการพัฒนาทั้งหมด 80% บรรลุแล้วในเวลานั้น ความร่วมมือดังกล่าวหมายถึง การยอมสละผลการวิจัยและพัฒนาทั้งหมดก่อนเป็นอันดับแรก ในทางกลับกัน หากมีพันธมิตรความร่วมมือที่มีอิทธิพลจากญี่ปุ่น ตำแหน่งของ Compact Disc ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับระบบที่แข่งขันกัน และอย่างน้อยที่สุด ก่อนการประชุม DAD ก็จะสามารถมีอิทธิพลมากขึ้นในการนำ CD มาใช้ให้เป็นมาตรฐานระดับโลก

นอกจากนี้ ไม่สามารถตัดทิ้งไปได้ว่าการประนีประนอมระหว่างการให้ความรู้และการรักษาโอกาสทางการตลาดดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ได้รับผลกำไรจากประสบการณ์ของพันธมิตรความร่วมมือกัน และเพื่อเริ่มต้นความร่วมมือระหว่างเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ทาง Philips ได้กำหนดวันสาธิตกับบริษัทและสถาบันต่างๆ ในญี่ปุ่น ขั้นตอนนี้ซึ่งใช้เวลานานกว่าการเชิญคณะผู้แทนญี่ปุ่นไปที่ Eindhoven มีจุดประสงค์เพื่อส่งสัญญาณของความสุภาพและความมั่นใจ ซึ่งเป็นการผสมผสานคุณธรรมที่ญี่ปุ่นชื่นชม เพื่อจุดประสงค์นี้ Philips จำเป็นต้องขนส่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเชื่อมต่อด้วยมือหลายลูกบาศก์เมตรไปยังอีกฟากหนึ่งของโลก เพื่อให้สามารถสาธิตได้อย่างสะดวกสบายต่อพันธมิตรความร่วมมือที่มีศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้เลือก…

การเดินทางเยือนญี่ปุ่นของ Compact Disc และ Philips ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ถึง 23 มีนาคม ค.ศ. 1979 จึงถือเป็นจุดเด่นด้าน “การทูต” ของการพัฒนา CD คณะผู้แทนจากเนเธอร์แลนด์จำนวน 8 คน รวมถึง J.J.G.Ch. van Tilburg ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกลุ่มอุตสาหกรรมเสียงหลัก, L.F. Ottens ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค, J.P. Sinjou ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการ CD และ J.J. Mons ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ ต้องเข้าร่วมโปรแกรมที่อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมสาธิตทั้งหมด 9 ครั้งใน 6 วัน

กระนั้นการขนส่งอุปกรณ์ทั้งหมดก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นงานที่ไม่ธรรมดา (Unusual Undertaking) เพื่อไม่ให้มองข้ามต้นแบบอันทรงคุณค่านี้ เทคโนโลยีทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ “Cubic Metre” ที่เหมือนกันสองตัว และ Pinkeltjer Drives จำนวน 4 ตัว ถูกนำส่งไปยังโตเกียวในห้องโดยสารชั้นหนึ่ง พร้อมกับคณะผู้แทนของ Philips ซึ่งนี่ทำให้ลูกเรือเครื่องบินประหลาดใจ

สถานการณ์ที่น่าสะพรึงเกิดขึ้นเมื่อมีการประกาศ “มูลค่า” ของอุปกรณ์ที่นำเข้าไปยังศุลกากรของญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นแม้จะมี “สัมภาระถือขึ้นเครื่อง” (Hand Luggage) ที่ไม่ธรรมดา อุปกรณ์ที่มีราคาแพงที่สุดก็คือ เครื่องนับความถี่ (Frequency Counter) จากการผลิตในสวีเดน ซึ่งมีมูลค่า 2,500 กิลเดอร์ รองลงมาคือ เครื่องมือวัดของญี่ปุ่น (!) ซึ่งมีมูลค่า 1,300 และ 1,200 กิลเดอร์ ต้นแบบถูกประกาศเป็นส่วนประกอบแต่ละชิ้น ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 200 ถึง 1,000 กิลเดอร์ แม้ว่าต้นแบบที่ทำด้วยมือจะมีมูลค่าเป็นล้าน แต่ตามข้อมูลนี้ ค่าใช้จ่ายของหน่วยสาธิตซึ่งประกอบด้วย “Pinkeltje” และเซอร์โว 1 ลูกบาศก์เมตร อุปกรณ์ถอดรหัส และอิเล็กทรอนิกส์แก้ไขข้อผิดพลาด มีมูลค่า 2,600 กิลเดอร์

ไฮไลท์ของชุดสาธิตนี้คือ การสาธิตซีดีต่อหน้าผู้เสนอตัวที่ต้องการความร่วมมือ ซึ่งได้แก่ NC, Sony, Pioneer, Hitachi และ MEI (Matsushita) ตามลำดับเวลา นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลด้านกลยุทธ์ จึงได้กำหนดการสาธิตก่อนการประชุม DAD นอกเหนือไปจากการสาธิตต่อสื่อมวลชน เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและขั้นตอนการพัฒนาขั้นสูง จุดมุ่งหมายคือ การสาธิตประสิทธิภาพและการพัฒนาขั้นสูงของซีดีเมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น

ตามที่คณะผู้แทนฟิลิปส์ได้คาดไว้ การเจรจาระหว่างการสาธิตนั้นยากลำบากมาก แม้ว่าการสาธิตจะผ่านไปโดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่การหารือที่เกิดขึ้นตามมานั้นต้องใช้ความอดทนและทักษะทางการทูตเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจ้าภาพชาวญี่ปุ่นทุกคนเป็นมิตรมากในการพูดคุย ซึ่งดำเนินไปในบรรยากาศที่อดทนอดกลั้น (เนื่องว่าไม่ค่อยประทับใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก) การเจรจามีความยุ่งยากยิ่งขึ้น เนื่องจากคำแถลงของคณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์ในภาษาอังกฤษทั้งหมดถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยืดเยื้อมาก จึงถูกมองว่า น่าจะลังเลใจอยู่ แล้วก็มาถึงข้อสรุปที่ไม่มีคำตอบตายตัว แม้ว่า Joop van Tilburg ในฐานะหัวหน้าการเจรจาจะเสนอให้แต่ละบริษัทพัฒนาแผ่นซีดีให้พร้อมสำหรับตลาดร่วมกัน แต่ข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้รับการตอบรับด้วยความสนใจที่ชัดเจนแต่อย่างใด

Joop van Tilburg ตระหนักดีว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมัครใจในญี่ปุ่น แต่เกิดขึ้นโดยไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาจึงไม่ได้คาดหวังอย่างจริงจังว่า จะได้รับคำตอบสำหรับข้อเสนอของเขาในขณะที่ยังอยู่ในญี่ปุ่น แต่ในนาทีสุดท้ายก่อนเดินทางกลับยุโรป Joop van Tilburg ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการจัดกระเป๋าเดินทาง ได้รับสายโทรศัพท์จาก Akio Morita ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานบริษัทโซนี่ บอกกับ Joop van Tilburg (ด้วยความประหลาดใจ) ว่า เขาได้ตัดสินใจร่วมกับคณะกรรมการบริหารของ SONY ในการทำงานกับฟิลิปส์ โดย Norio Ohga จะเดินทางไปที่เมือง Eindhoven ในตำแหน่งรองประธานบริษัทโซนี่ เพื่อแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับพันธะสัญญาร่วมกัน

Joop van Tilburg นั้นทราบดีถึงประเพณีของญี่ปุ่นเกี่ยวกับธรรมชาติของการผูกมัดของสัญญาปากเปล่าโดยทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความน่าเชื่อถือของ Akio Morita ซึ่งมักจะทำงานทางโทรศัพท์ ในที่สุดก็สามารถบอกข่าวความสำเร็จของการเดินทางไปญี่ปุ่นได้ …ความยุ่งยากนั้นสุดลงแล้ว Philips ได้บรรลุว่า Sony (ร่วมกับ Matsushita) เป็นพันธมิตรด้านความร่วมมือที่แทบจะสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนอย่างมากต่อความสำเร็จของแผ่นซีดีในเวลาต่อมา – Compact Disc ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

Technical Cooperation – Changes in Content

หลังจากที่ Norio Ohga รองประธานบริษัท Sony ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ Joop van Tilburg ในเมือง Eindhoven หลังจากเดินทางไปญี่ปุ่นไม่กี่สัปดาห์ ความร่วมมืออย่างเข้มข้นในด้านเทคนิคจึงเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1979 เพื่อกำหนดคุณลักษณะของ CD อย่างละเอียด วิศวกรของ Philips และ Sony ได้พบกันเป็นระยะๆ สลับกันที่เมืองโตเกียวและไอนด์โฮเฟน จนกระทั่งมีการนำมาตรฐานร่วมกันมาใช้ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1980

จุดมุ่งหมายของความร่วมมือ ไม่ใช่การออกแบบส่วนประกอบทางเทคนิคที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นการค้นหาเงื่อนไขขอบเขตที่เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เป็นไปได้ทางเทคนิคและสิ่งที่จำเป็นในเชิงคุณภาพและเชิงแนวคิดแล้ว จะทำให้ผู้รับใบอนุญาตในภายหลังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องเล่นแผ่นซีดีได้ด้วยตนเอง เนื่องจากการเจรจาส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่การบรรลุข้อตกลงพื้นฐาน โดยที่โซลูชั่นทางเทคนิคโดยละเอียดที่เป็นรูปธรรมถือเป็นเรื่องรอง ความร่วมมือระหว่าง Sony และ Philips จึงเกิดขึ้นในบรรยากาศที่เป็นมิตรและเป็นกันเองอย่างไม่ธรรมดา ระหว่างการเดินทางไป-กลับหลายเดือน “มิตรภาพส่วนตัว” ได้พัฒนาขึ้นระหว่างวิศวกรชาวญี่ปุ่นและชาวดัตช์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดบรรยากาศแบบ “ครอบครัว” ระหว่างพนักงานของ Sony และ Philips

การประชุมระหว่างวิศวกรของ Sony และ Philips ซึ่งเข้มข้นมาก (และเมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่า ได้ผลดีมาก) เริ่มต้นด้วยรายงานจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับงานเบื้องต้นและประสบการณ์ที่สามารถนำมาใช้กับระบบแผ่นซีดีได้ แนวคิดพื้นฐานของแผ่นซีดีซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ได้รับการยอมรับจากตลาดสูงนั้นยังคงเหมือนเดิม เบื้องหลังของผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคเท่านั้นที่มีการปรับปรุงทางเทคนิคที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ระบบแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Correction System) ที่พัฒนาโดย Philips สำหรับต้นแบบต้องหลีกทางให้กับขั้นตอนที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงของทาง Sony เพื่อให้สามารถตรวจจับและปรับแก้ข้อผิดพลาดในการอ่านข้อมูลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ได้อย่างน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

ปัญหาของขั้นตอน “Convolutional Code” ที่ Philips พัฒนาขึ้นในตอนแรกก็คือ ข้อผิดพลาดในการอ่านข้อมูลที่ไม่สามารถตรวจพบและแก้ไขได้ด้วยความช่วยเหลือของข้อมูลซ้ำซ้อนเพิ่มเติม (Additional Redundancy Information) ที่เก็บไว้ในแผ่นซีดีนั้น จะถูกส่งผลกระทบไปยังชิ้นดนตรีโดยถือว่า เป็นข้อผิดพลาดที่ไม่รู้จัก (Unrecognised Errors) ซึ่งนอกจากจะเกิดการบิดเบือนเสียงในทันทีแล้ว ยังส่งผลให้ไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตรวจพบเพิ่มเติมได้ เนื่องจากข้อผิดพลาดที่ตรวจไม่พบแพร่กระจาย แต่จะต้องปิดบังโดยการทำให้สัญญาณเพลงจางลงชั่วครู่ และทำให้ไม่ได้ยิน เนื่องจากความถี่ที่ใช้ขั้นตอนที่เรียกว่า “ปิดเสียง” (Muting) นี้ดูเหมือนจะสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการใช้แผ่นซีดีเป็นสื่อจัดเก็บข้อมูลในภายหลัง ทาง Sony จึงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ขั้นตอนการตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดแบบอื่น กระบวนการ “CIRC” ที่ตกลงกันได้ในที่สุดนั้นได้รับประโยชน์สูงสุดจากประสบการณ์ที่ Sony ได้รับจากเทคโนโลยีเสียงดิจิทัลระดับมืออาชีพ

นอกจากนี้ การพัฒนาเครื่องบันทึกเสียงดิจิทัลในสตูดิโอยังส่งผลต่อความต้องการของโซนี่ ในการเพิ่มความแม่นยำของความละเอียดดิจิทัล หรือที่เรียกว่า “การควอนไทเซชั่น” (Quantisation) จาก 14 เป็น 16 บิต สำหรับตลาดผู้บริโภคด้วย ขั้นตอนนี้ซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นด้วย “ตัวแปลงข้อมูล” (Converters) ระหว่างสัญญาณเสียงแบบ แอนาล็อกสู่ดิจิทัลที่มีราคาแพงขึ้น ทำให้ “สัญญาณรบกวนจากการควอนไทเซชั่น” (Quantisation Noise) ที่มักเกิดขึ้นกับการบันทึกดิจิทัลลดลง การตั้งค่าความละเอียดของการควอนไทเซชั่นเป็น 16 บิต นอกเหนือจากอัตราการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Rate) แล้วนั้น ความละเอียดของการควอนไทเซชั่น (Quantisation Resolution) ยังนับเป็นพารามิเตอร์ที่สำคัญของเทคโนโลยีเสียงดิจิทัล (ซึ่งในเวลาต่อมามีผลทำให้เทคโนโลยีเสียงดิจิทัลทั่วโลกมีมาตรฐานภายใต้ชื่อ “CD Quality”

แม้ว่าจะต้องบรรลุฉันทามติระหว่างหุ้นส่วนความร่วมมือก่อนเป็นอันดับแรก ในการกำหนดพารามิเตอร์ดิจิทัลและการจัดทำขั้นตอนแก้ไขข้อผิดพลาดทางคณิตศาสตร์ แต่ความพร้อมของตลาดสำหรับ Semiconductor Laser ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งยังคงขาดหายไป ทำให้ทีมพัฒนาซีดีต้องเผชิญกับปัญหาพื้นฐาน ถึงแม้ว่าส่วนประกอบดังกล่าวจะมีวางจำหน่ายในตลาดเฉพาะ หรือ รุ่นที่ใช้ในห้องทดลองเท่านั้น แต่จำเป็นต้องเลือกประเภทที่เหมาะสมจากทางเลือกต่างๆ ที่มีคุณสมบัติของสเปกฯเพิ่มเติมที่ตรงกับความต้องการของซีดี (โดยเฉพาะความยาวคลื่น) จากมุมมองของอายุการใช้งานขั้นต่ำที่ต้องการ ซึ่งสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขการผลิตจำนวนมาก (Large-Scale Production) การตัดสินใจดังกล่าวพิสูจน์ให้เห็นว่า ยากมาก เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบอายุการใช้งานของส่วนประกอบใหม่ใน “เวลาจริง” (Real Time) ได้ เพียงไม่กี่ปีหลังจากเริ่มการผลิตซีดี จึงชัดเจนว่า การเลือก Semiconductor Laser แบบ AlGaAs นั้นถูกต้อง  (ทางเลือกอื่นๆ กลับมีความทนทานน้อยกว่า)

โดยรวมแล้ว การเจรจามาตรฐานซีดีได้พัฒนาไปในลักษณะที่ Philips ต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านออปติก (Optical Field) เป็นหลัก เนื่องจากประสบการณ์ที่จำกัดในการสแกนด้วยเลเซอร์ของ VLP และงานวิจัยที่กำลังดำเนินการเกี่ยวกับ Laser Diodes, เลนส์อ่านข้อมูล (Readout Optics), ระบบลำแสง (Beam Path) และกลไกเซอร์โว (Servo Mechanics) ในทางกลับกันทาง Sony ได้นำประสบการณ์เกี่ยวกับอุปกรณ์บันทึกเสียงในสตูดิโอแบบดิจิทัลมาช่วยกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์แบบดิจิทัล ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนการแก้ไขข้อผิดพลาดที่จำเป็นในการตรวจจับ-แก้ไข และปกปิดข้อผิดพลาดในการอ่านข้อมูลได้รับการกำหนดขึ้นโดยผลงานของ Sony

การขยายเวลาเล่นแผ่นซีดีเป็นอีกประเด็นที่ Philips ต้องยอมผ่อนปรนกับ Sony หลังจากการทำงานร่วมกัน ซึ่งขัดกับแนวคิดเดิมของแผ่นซีดีที่ Philips ได้กำหนดแนวทางไว้ …ความปรารถนาของ Norio Ohga ระหว่างการเจรจาเพื่อขยายเวลาเล่นแผ่นซีดี (Playing Time) ขัดแย้งกับความต้องการความกะทัดรัด (Compactness) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียกขาน ซีดี (Compact Disc) ระยะเวลาการเล่นสูงสุดที่ Philips ตั้งเป้าไว้คือ 60 นาที ซึ่งจุดนั้นได้รับการตกลงโดยคำนึงถึงความยาวปกติของโปรแกรมเพลงที่ 60 นาที แผ่นซีดีก็เล่นได้เกินเวลาการเล่นสูงสุดทั้งสองด้านของแผ่นเสียงไปไม่กี่นาที จึงสามารถรองรับโปรแกรม ” Long Play ” ทั้งหมดที่มีจำหน่ายบนแผ่นไวนิลได้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม Norio Ohga กระตุ้นให้ Joop van Tilburg ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนในระหว่างการทำงานร่วมกัน ตกลงใจขยายเวลาการเล่นแผ่นซีดีให้เกิน 74 นาที และเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางแผ่นดิสก์ให้มากขึ้น 5 มิลลิเมตรเป็น 12 ซม. ตามลำดับด้วย เหตุผลที่ Ohga นั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิก ความหลงใหลนี้เป็นเหตุผลที่เขาร้องขอให้ขยายเวลาการเล่นแผ่นซีดีในลักษณะที่สามารถเล่นผลงานเพลงคลาสสิกพิเศษได้เต็มความยาวบนแผ่นดิสก์เพียงแผ่นเดียวเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Ludwig van Beethoven

แม้ว่าคำขอนี้จะไม่ได้รับการอนุมัติจากวิศวกรของ Philips ที่เน้นเรื่องความกะทัดรัด แต่ก็ดูสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Beethoven ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น โดยทั่วไป, จึงไม่สามารถปฏิเสธได้จากรองประธานของ Sony โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำเป็นต้องขยายเวลาการเล่นให้รองรับ สำหรับการตีความผลงานของ Ohga ที่ต้องการวง Berlin Philharmonic Orchestra ที่ควบคุมวงโดย Herbert von Karajan ด้วยเวลา 66 นาที อย่างไรก็ตาม เพื่อให้วาทยากรคนอื่นๆ มีโอกาสเล่นเพลง Beethoven หมายเลข 9 ในลักษณะที่ไม่เร่งรีบ ระยะเวลาการเล่นที่เป็นไปได้ของแผ่นซีดีจึงถูกขยายจาก (เดิม) 60 นาทีเป็นมากกว่า 74 นาที หลังจากที่ PolyGram ได้รับรู้ถึงเวลาการเล่นที่ยาวนานที่สุดที่ทราบของผลงานนี้

เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1980, ข้อกำหนดทางเทคนิคชุดหนึ่งได้ถูกจัดทำขึ้น ระบุไว้ใน “Red Book” ซึ่งตั้งชื่อตามสีโปรดของ J.P. Sinjou (หัวหน้าห้องปฏิบัติการ CD) ที่รวมถึงข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นอย่างยิ่งในฐานะกรอบงานพื้นฐาน (basic framework) เพื่อให้แน่ใจว่า “Audio Compact  Discs” เข้ากันได้กับอุปกรณ์เล่นที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการก่อสร้างที่เป็นรูปธรรมของเครื่องเล่นไม่ได้ถูกทำให้เป็นมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนให้ผู้รับใบอนุญาตในภายหลังได้นำโซลูชั่นทางเทคนิคของตนเองไปใช้ และเพื่อให้แน่ใจว่า มีจุดเริ่มต้นที่ดีในด้านความรู้ความชำนาญในลักษณะนี้ จึงไม่จำเป็นต้องทำให้อุปกรณ์อ่านสัญญาณและกลไกเซอร์โวเป็นมาตรฐาน ซึ่งต้องมีการพัฒนาทางเทคนิคอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว หรือ ส่วนประกอบระบบต่อพ่วง หรือ ส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น เช่น “Jewel Box” ซึ่งใช้กันทั่วไปในการจัดเก็บแผ่นซีดี

ในช่วงหลังสุดของความร่วมมือกัน Sony / Philips ประสบความสำเร็จในการคว้าตำแหน่งสูงสุดในการแข่งขันเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิทัลดิสก์ในญี่ปุ่นด้วยระบบ Compact Disc Digital Audio System เมื่อรวมกับระบบอื่นอีก 2 ระบบ คือ ระบบ AHD ที่พัฒนาโดย Matsushita Group ของญี่ปุ่น ร่วมกับบริษัทในเครือ JVC และระบบ Mini-Disk System (MD) ของ AEG-Telefunken จากเยอรมนี ‘Compact Disc Digital Audio System’ ก็ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของการคัดออกของ DAD (Digital Audio Disk Standardisation Conference) ในปี ค.ศ. 1980 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการประชุมมาตรฐาน DAD ไม่สามารถทำการคัดเลือกเพิ่มเติมได้ สิ่งที่สามารถกำหนดได้ในการประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1981 ก็คือ ความชะงักงันระหว่างระบบทั้งสาม หลังจากนั้น การประชุม DAD จึงยุติกิจกรรมลง

แม้ว่าระบบ AHD ของ Matsushita Group ร่วมกับ JVC จะดูเหมือนเปิดกว้าง และมีคำแนะนำที่จริงจังว่า ผู้เข้าร่วม DAD แต่ละคนควรเลือกจากข้อเสนอสามข้อนี้ด้วยตัวเอง แต่ CD ก็สามารถระบุได้อย่างง่ายดายว่า ‘เป็นผู้ชนะที่แท้จริง’ จากทั้งสามระบบ ดังนั้น เมื่อเทียบกับระบบ Compact Disc และ Mini-Disk ที่เน้นเสียง ระบบ AHD ของ JVC ซึ่งเข้ากันได้กับระบบภาพ VHD ของ JVC และด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นการประนีประนอมทางเทคนิค จึงถูกวิศวกรเสียงที่เข้าร่วมพิจารณาอย่างวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากนี้ ยังเห็นได้ชัดว่ามีการแสดง “ความสนใจอย่างยิ่งยวด” (Great Interest) ในระบบ CD และ AHD ในบริบทของกิจกรรมการเจรจาของ DAD แต่ไม่มีใครเข้าร่วมการประชุมกลุ่มทำงานเกี่ยวกับ MD อีกสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่า CD ได้รับการซื้อขายอย่างไม่เป็นทางการเป็นอันดับแรกคือ ลำดับที่กล่าวถึงระบบที่เสนอสามระบบในบันทึกการประชุม ได้แก่ CD ของ Philips และ Sony เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ระบบมินิดิสก์ของ AEG-Telefunken และระบบ AHD ของ JVC เป็นอันดับสุดท้าย

Final Spurt (1980 – 1982)

การเติบใหญ่ขั้นสุดท้าย – แม้ว่าก่อนที่จะมีการเสนอชื่อระบบจัดเก็บเสียงดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยการประชุมมาตรฐาน DAD (แม้ว่าในท้ายที่สุดจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม) แต่ Philips และ Sony ก็เปิดตัวขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาแผ่นซีดีในปี ค.ศ. 1980 อย่างมั่นใจ นั่นคือ การโอนระบบจากระดับห้องปฏิบัติการไปสู่ Mass Production ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยการกำหนดข้อกำหนดในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1980

จากนั้นความร่วมมือระหว่าง Philips และ Sony ก็คลายลงตามที่ตกลงกันไว้ และทั้งสองบริษัทก็ทุ่มเทให้กับการนำระบบซีดีไปใช้ในทางเทคนิคของการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Product) อย่างเป็นรูปธรรม โดยที่การพัฒนาร่วมกันเพิ่มเติมของเทคโนโลยีได้ถูกยกเลิกไป (ในแง่หนึ่ง เพื่อให้ปริมาณความรู้ทางเทคนิคที่ต้องแลกเปลี่ยนกันนั้น น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ในอีกแง่หนึ่ง การที่ในภายหลังมีเวอร์ชันทางเทคนิคต่างๆ ให้เลือก ทำให้มีการเลือกสรรตามปกติในตลาด)

Partners and Competitors

…อารมณ์ระหว่างพันธมิตรความร่วมมือกันของ Philips และ Sony ก็เปลี่ยนไปเป็นคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัดในช่วงสุดท้ายของการพัฒนาซีดี ในขณะที่ Joop Sinjou รู้สึกว่าเป็น “ครอบครัว” ระหว่างวิศวกรที่เกี่ยวข้องในระหว่างการพัฒนาข้อมูลจำเพาะของซีดีร่วมกัน พันธมิตรทั้งสองก็พัฒนาเป็นคู่แข่งกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเปิดตัวในตลาด ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกลับคืนมาเพียงเป็นครั้งคราว เช่น ในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นร่วมกัน

ตัวอย่างที่โดดเด่นของความสัมพันธ์ที่แตกแยกระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มคือ การพัฒนาวงจรรวม (ICs) สำหรับเครื่องเล่นซีดีรุ่นแรก เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องเล่นซีดีจากทั้งสองบริษัทจะวางจำหน่ายในตลาดพร้อมกัน จึงมีการทำข้อตกลงที่อนุญาตให้หุ้นส่วนความร่วมมือแต่ละรายใช้ “วงจรรวม” ของอีกฝ่ายได้ หากเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการรวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องใช้แรงงานมากและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เพื่อให้สามารถใช้แทนกันได้ในทางหลักการ จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคขั้นต่ำนอกเหนือจากข้อมูลจำเพาะของซีดีล้วนๆ โดยแสดงจุดประสงค์ของวงจรรวมและวิธีที่วงจรรวมโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมทางอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเชื่อว่า ตนทราบถึงกิจกรรมการรวมวงจรของอีกฝ่าย

ในระหว่างการพัฒนาไอซี ความจริงที่ว่าตัวแปลงดิจิทัลเป็นอะนาลอกในเครื่องเล่นซีดีของ Sony ซึ่งตอบสนองการแปลงจากโดเมนดิจิทัลเป็นอะนาลอก ทำงานด้วยความละเอียดเชิงปริมาณ (Quantization Resolution) ที่ระดับ 16 บิต ในขณะที่ Philips ให้ความละเอียดเพียง 14 บิตเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า Sony มีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าในเทคโนโลยีเสียงดิจิทัลมาเป็นเวลานาน ส่วนทาง Philips ดูเหมือนจะพอใจกับการผลิตตัวแปลง 14 บิตที่ง่ายกว่าและราคาถูกกว่า แม้ว่าข้อกำหนดของซีดีจะระบุความละเอียดเชิงปริมาณไว้ที่ 16 บิต ตามแนวทางปฏิบัติของระดับมืออาชีพ (Professional Practice) ก็ตาม ก่อนหน้าที่ไอซีจะเสร็จสมบูรณ์ไม่นาน ทาง Sony คิดว่าตัวเองเหนือกว่าในด้านเทคนิค เนื่องจากระดับสัญญาณรบกวนที่ต่ำกว่า ซึ่งสัมพันธ์กับความละเอียดเชิงปริมาณที่สูงกว่าฟิลิปส์

ทว่า Philips กลับสร้างความประหลาดใจให้กับ Sony ด้วยการดำเนินการเพียงลำพังในลักษณะที่ไม่คาดคิด การตัดสินใจเลือกตัวแปลงดิจิทัลเป็นอะนาลอกที่มีคุณภาพต่ำกว่า 16 บิต นั้นเกิดขึ้นโดยตั้งใจ โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งทาง Philips ไม่ได้เปิดเผยให้ Sony ทราบในตอนแรก จนกระทั่งมีการนำเสนอวงจรรวมที่เสร็จสมบูรณ์ร่วมกัน

ซึ่งทำให้เหล่าวิศวกรของ Sony ประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่เพียงแต่ Philips จะคิดค้น IC พิเศษ 3 ตัว สำหรับพื้นที่ของการแทรกสัญญาณ (Interpolation) ‘Philips SAA 7000’, การดีมอดูเลชั่น (Demodulation) ‘Philips SAA 7010’ และการแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Correction) ‘Philips SAA 7020’ เท่านั้น แต่ยังได้นำเสนอ IC ตัวที่ 4 ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน สำหรับ “การกรองสัญญาณดิจิทัล” (Digital Filtering) ‘Philips SAA 7030’ ซึ่งเบื้องหลังกระบวนการกรองสัญญาณดิจิทัลนี้ ไม่เพียงแต่จะชดเชยจุดอ่อนที่ควรจะเป็นของตัวแปลงดิจิทัลเป็นอะนาลอก 14 บิตเท่านั้น แต่ยังเหนือกว่าตัวแปลง 16 บิตอีกด้วย !! และภายใต้ชื่อ “Oversampling” เป็นการชี้ทางไปสู่แนวคิดของตัวแปลงข้อมูล D/A Converter ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะอันเป็นความลับของวิศวกรจากทาง Philips ครั้งนี้ ถูกบดบังด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า มีปัญหาเกิดขึ้นในการผลิต IC ในส่วนของ Error Correction IC ของ Philips เนื่องจาก IC ที่ซับซ้อนที่สุดของ Philips ทั้งหมดสามารถผลิตได้จำนวนมาก จึงต้องใช้ข้อตกลงในการอนุญาตให้ใช้ IC หรือ Respective ICs ของพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แน่ใจว่า มีอุปกรณ์จำนวนเพียงพอเมื่อเปิดตัวสู่ตลาด ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์

Hans Mons และ Jos Timmermans วิศวกรที่รับผิดชอบห้องปฏิบัติการซีดีของ Philips ได้ออกแบบแผนผังวงจรใหม่ในลักษณะไอซีแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Correction IC) ของ Sony ร่วมกับส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถติดตั้งในเครื่องเล่นซีดีรุ่นใหญ่ของ Philips รุ่น Philips CD 200 และ Philips CD 300 ได้ สำหรับในรุ่น Philips CD 100 ที่เล็กกว่าและมีรูปร่างเหมือน Console-Shaped “SOPHI solution” เช่น การใช้ IC ของ Sony ในเครื่องเล่น Philips ไม่สามารถใช้ได้ เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอ ดังนั้น ข้อผิดพลาดใน IC ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในบางโอกาสเท่านั้น ก็ได้รับการชดเชย โดยการติดตั้ง Error Correction ICs ของ Philips ที่ผ่านการเลือกสรร ควบคู่กับส่วนประกอบบางส่วน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความล่าช้า เนื่องมาจาก Error Correction IC ที่มีข้อบกพร่องเล็กน้อย แต่เครื่องเล่นซีดี CD 100 ของ Philips รุ่นก่อนสายพานการผลิต ซึ่งเดิมทีมีขนาดเล็กเท่ากับแผงวงจรเดียวก็ได้รับการนำเสนอในเมือง Eindhoven ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1982 โดยทาง Philips ได้แจกจ่ายเครื่องเล่นซีดีขนาดกะทัดรัดเครื่องแรกเหล่านี้ให้กับพนักงานทุกคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาซีดีรุ่นนี้

Lou F. Ottens ซึ่งลาออกจากกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องเสียงหลักของ Philips ไปแล้วในปี ค.ศ. 1979 และติดตาม “โครงการ” นี้ของเขาอยู่ห่างๆ ในช่วงสุดท้ายของการพัฒนา ได้แสดงถึงการตอบรับด้วยคำพูดว่า: “From now on, the conventional record player is burned.” (จากนี้ไป เครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบเดิมจะถูกเผา)

ในด้านสาธารณะนั้น, หนทางสะดวกมากสำหรับ Sony และ Philips ที่จะได้พบกับผู้สนับสนุนที่โดดเด่นสำหรับเรื่องของซีดี ซึ่งการตัดสินใจของเขามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความสามารถและความเป็นกลางในนโยบายอุตสาหกรรม โดยที่ Herbert von Karajan ผู้กำกับวง Berlin Philharmonic Orchestra ซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ แม้ว่า Karajan จะออกบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตของเขาผ่านสังกัด Deutsche Grammophon (ค่ายเพลงที่ร่วมมือกับ Philips Group ผ่าน PolyGram) แต่เขาก็ได้ทราบเกี่ยวกับการพัฒนาแผ่นซีดีผ่านทาง Ohga และ Morita แห่ง Sony ซึ่งเขารู้จักเป็นการส่วนตัวทั้งคู่ ได้นำระบบซีดีไปสาธิตที่ Philips ในเมือง Eindhoven โดยที่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากกับความก้าวหน้าในด้านคุณภาพที่ซีดีสามารถทำได้ เมื่อเทียบกับสื่อเสียงอื่นๆ จนเขาตัดสินใจที่จะโปรโมทแผ่นซีดีด้วยตัวเองในโอกาสของเทศกาลอีสเตอร์ที่เมือง Salzburg ในปี ค.ศ. 1981

เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1981 ซึ่งเป็นวันพุธของเทศกาลดนตรีตามธรรมเนียมที่เปิดให้ชมฟรี Karajan ได้เชิญสื่อมวลชนจากต่างประเทศมาที่เมือง Salzburg เพื่อสาธิตระบบแผ่นซีดี จากนั้นจึงจัดงานแถลงข่าว หลังจากการแสดง Pictures at an Exhibition ของ Mussorgsky ซึ่งบันทึกเสียงเป็นพิเศษตามคำขอของเขาโดยวง Berlin Philharmonic ภายใต้การกำกับวงของตัวเขา ซึ่งจบลงด้วยเสียงฆ้องขนาดใหญ่ที่ไพเราะน่าประทับใจ เขาได้เปรียบเทียบผลงานในตำนาน โดยพาดพิงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงให้เห็นได้จากหลอดไฟฟ้า (Electric Light) Karajan ได้เปรียบเทียบ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” ว่า ” Gaslight” ด้วยความหลงใหลในเป็นซีดีอย่างมาก วันที่ 1 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1982 “Digital Audio Disc” หรือ ซีดีชุดแรกที่วางจำหน่ายในวงกว้างได้ออกสู่ตลาดญี่ปุ่น รวมทั้งเครื่องเล่นซีดีเพลงเครื่องแรกที่วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์คือ SONY CDP-101 ซึ่งวางจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1982 ด้วยเช่นกัน ….การแปลงเสียงเพลงเป็นดิจิทัลนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสตรีมมิ่งในปัจจุบัน

…ทุกวันนี้ CD นับเป็นสื่อเสียงดิจิทัล (Digital Audio) เพียงลำพังที่เป็นข้อมูล LPCM อันไร้ซึ่งกระบวนการลดรูป/บีบอัดข้อมูลใดๆ (จึงไม่เป็นทั้ง Lossy หรือ Lossless Audio Codecs เนื่องเพราะไม่มีการใช้ Audio Codec ใดๆ) เฉกเช่นเดียวกับ DVD-Audio ที่ไม่ได้ไปต่อ.. แม้ว่าจะเป็นข้อมูล LPCM ที่ไร้ซึ่งกระบวนการลดรูป/บีบอัดข้อมูลเช่นเดียวกัน

อนึ่ง DVD-Audio นั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรูปแบบการส่งข้อมูลวิดีโอและออดิโอเหมือนกับ DVD-Video ที่มีข้อมูลภาพยนตร์, คอนเสิร์ต หรือ มิวสิควิดีโอ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง DVD-Audio ก็มีสงครามฟอร์แมตกับ Super Audio CD (SACD) ซึ่งเป็นอีกฟอร์แมตหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาขึ้น สำหรับการส่งเนื้อหาเสียงดิจิทัลที่มีความเที่ยงตรงสูงระดับ Hi-Res Edition ซึ่งวงการได้ให้การยอมรับกับรูปแบบ SACD นี้ แต่ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป แผ่น Blu-Ray ได้เข้ามาแทนที่รูปแบบทั้ง DVD-Video, DVD-Audio และ SACD โดยทุกวันนี้ ไม่มีการสร้างแผ่น DVD-Audio ใหม่ และยังมีค่ายเพลงเพียงไม่กี่ค่ายที่ยังคงออก SACD สู่ตลาด ณ ปัจจุบัน

ทั้งนี้ DVD-Audio นำเสนอรูปแบบช่องสัญญาณเสียงที่เป็นไปได้มากมาย ตั้งแต่ช่องสัญญาณเดียว (โมโน) ไปจนถึง 5.1 ช่องสัญญาณ (เสียงรอบทิศทาง) ที่ความถี่ในการสุ่มสร้างชุดตัวอย่างข้อมูล และอัตราการสุ่มตัวอย่างได้หลากหลาย เมื่อเทียบกับแผ่นซีดี ด้วยรูปแบบ DVD ที่มีความจุข้อมูล (Capacity) สูงกว่าซีดีมาก ทำให้สามารถรวมเพลงได้มากขึ้นอย่างมาก (เมื่อเทียบกับระยะเวลาการเล่นทั้งหมดและจำนวนเพลง) หรือในแง่ของคุณภาพเสียงที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากอัตราการสุ่มตัวอย่างเชิงเส้น (Linear Sampling Rates)  ที่สูงขึ้น และความละเอียดบิตต่อตัวอย่าง (Bit-Per-Sample Resolution) ที่สูงขึ้น และ/หรือ ช่องสัญญาณเพิ่มเติมสำหรับเสียงรอบทิศทาง

การออกแบบฟังก์ชั่นของ DVD-Audio ซึ่งการบรรจุข้อมูลอยู่ในรูปของ DVD จึงทำให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเสียงดิจิทัลแบบหลายช่องสัญญาณที่ความลึกข้อมูลสูงสุด 24 บิต และความถี่การสุ่มตัวอย่างสูงสุดถึง 96 กิโลเฮิรตซ์ นอกจากนี้ เมื่อนำเสนอเป็นโปรแกรม LPCM เสียงสเตอริโอที่มีความลึกข้อมูล 24 บิต และความถี่การสุ่มตัวอย่างสูงสุดได้ถึง 192 กิโลเฮิรตซ์ โดยที่โปรแกรมเสียงเหล่านี้ไม่ได้ไม่มีการสูญเสียข้อมูลใดๆ อย่างแท้จริง ทำให้มีคุณภาพเสียงที่เหนือกว่า CD อย่างมากก็ตาม อย่างไรก็ตาม CD นับเป็นสื่อเสียงดิจิทัลที่ไม่มีการสูญเสียข้อมูล ซึ่งยังคงมีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน

การเข้ามาของสตรีมมิ่งส่งผลกระทบต่อ CD อย่างมากทีเดียว จนถึงกับมีการคาดการณ์ว่า CD อาจตกจากบัลลังก์ ไม่ต่างจากที่ครั้งหนึ่งแผ่นเสียงก็เคยหลุดจากบัลลังก์จนแทบจะสูญพันธุ์ เพราะการเข้ามาของซีดี ทว่า ณ เวลานี้เป็นที่ทราบกันดีว่า นอกจาก CD จะตีไม่ตายขายไม่ขาด ด้วยยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ในส่วนของเครื่องเล่นซีดีที่เคยมีปัญหาเรื่องของ CD Mechanism ที่เหลือการผลิตอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก จนส่งผลต่อยอดการผลิตเครื่องเล่นซีดีที่จำกัดตัวลง แต่กลับเป็นว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องเสียงระดับไฮ-เอนด์หลายต่อหลายบริษัท ได้ลงมาร่วมวง ส่งเครื่องเล่นซีดีระดับสูงออกสู่ตลาด ทำให้สถานการณ์ ณ เวลานี้ของ CD ที่เคยมืดมน กลับคืนสู่อนาคตที่นับว่า มีแววอันสดใส ในขณะที่สถานการณ์ ณ เวลานี้ของสตรีมมิ่งดูจะหดตัวลงทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่พัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นอย่างมาก จึงอาจส่งผลต่อแวดวงเครื่องเสียงในอนาคตด้วยเช่นกัน …ใครจะไปรู้ได้ ครั้งหนึ่งที่เราเคยมี DAT (Digital Audio Tape) ซึ่งยึดฟอร์แมต LPCM เสียงสเตอริโอที่มีความลึกข้อมูล 20-24 บิต และความถี่การสุ่มตัวอย่างสูงสุดได้ระหว่าง 48 ถึง 96 กิโลเฮิรตซ์ อาจหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อรองรับกับสื่อเสียงดิจิทัลรายละเอียดสูงที่รองรับผู้ใช้งานที่ต้องการบันทึกข้อมูลเสียงระดับ HI-RES และเล่นกลับด้วยตนเอง ด้วยจุดเด่นสำคัญในความเป็น The Truly Lossless อันไร้ซึ่งกระบวนการลดรูป/บีบอัดข้อมูล (Data Compression) ที่จำเป็นต้องใช้ CODEC (Coder-Decoder) เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกสำหรับเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลดิจิทัล (ซึ่งเมื่อเข้ารหัสด้วย CODEC ชนิดใด ก็จะต้องถอดรหัสด้วย CODEC ชนิดเดียวกัน) ที่ย่อมมีผลกระทบต่อความครบถ้วนสมบูรณ์แบบของข้อมูลเสียงไม่มากก็น้อย…

เพิ่มเติม:- ทำความรู้จักกับการบีบอัดข้อมูล (Data Compression) ที่จำเป็นต้องใช้ CODEC (Coder-Decoder) เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกสำหรับเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลดิจิทัล (ซึ่งเมื่อเข้ารหัสด้วย CODEC ชนิดใด ก็จะต้องถอดรหัสด้วย CODEC ชนิดเดียวกัน) โดยที่ CODEC จะใช้อัลกอริทึมในการหาข้อมูลที่มีความซ้ำซ้อนกัน (Redundant) และลดความซ้ำซ้อนลง ซึ่งข้อมูลที่ถูกบีบอัดแล้วก็จะมีนามสกุลของไฟล์แตกต่างกันไปตามวิธีการบีบอัด

ประเภทของการบีบอัดข้อมูล จะมี 2 ลักษณะ:- Lossless Compression ใช้อัลกอริทึมในการบีบอัดข้อมูลที่ไม่ทำให้ข้อมูลสูญหายในการบีบอัด ข้อมูลจึงมีความสมบูรณ์เหมือน หรือ ใกล้เคียงต้นฉบับ แต่จะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บมาก กับ Lossy Compression ซึ่งจะตัดข้อมูลบางส่วนออกไปเพื่อลดขนาดของไฟล์ โดยข้อมูลที่ซ้ำซ้อนจะถูกตัดทิ้งอย่างถาวร ด้วยข้อดีคือ ขนาดของข้อมูลจะลดลงมาก แต่ข้อเสียคือ ข้อมูลจะไม่ละเอียดเหมือนต้นฉบับ

………………….จบบริบูรณ์……………….