…The Ones หนึ่งนี้ “ดัง” ในอดีต…
LUXMAN L-560
“Best Product 1986” by Stereo Sound (Japan)
มงคล อ่วมเรืองศรี
โดยแท้จริงนั้น L-560 มีปฐมบท หรือ จุดเริ่มต้นมาจาก L-550 รุ่นเรือธงของกลุ่มสเตอริโอ อินทิเกรตแอมป์ในชุด L-Series ที่แรกออกจำหน่ายในปีค.ศ.1981 ซึ่งเป็นช่วงเวลา “ก่อนหน้า” ทาง ALPINE จะเข้ามาเทคโอเวอร์ LUXMAN ในปีค.ศ.1984 ภายใต้รูปลักษณ์อันสวยงาม ดูน่าเกรงขาม ขนาดตัวเครื่องใหญ่บึกบั๊ก อัดแน่นไว้ด้วยอุปกรณ์คุณภาพสมศักดิ์ศรีความเป็นพี่ใหญ่ ทำให้มีน้ำหนักมากถึงกว่า 20 กก. นำพามาซึ่งคุณภาพเสียงอันเยี่ยมยอด จนกระทั่งนิตยสารชื่อดังของญี่ปุ่น ‘Stereo Sound’ มอบรางวัล “State of the Art” มาครอง พร้อมด้วยตำแหน่ง “Best Product” by Stereo Sound อีกด้วยในช่วงปีค.ศ.1982
จากความสำเร็จอย่างสูงของรุ่น L-550 ซึ่งยุติสายพานการผลิตลงในปีค.ศ.1983 วิศวกรของ LUXMAN ก็ได้สร้าง-ทายาท-ผู้สืบสานความสำเร็จมาสู่ L-550X ซึ่งก็ปรากฏว่าสามารถคว้า “Best Product” by Stereo Sound มาครองอีกเช่นกัน…. ซึ่งว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วนั้น L-550X นับเป็นเวอร์ชัน “อัพเกรด” ของ L-550 เพื่อการจำหน่ายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ยอดผลิตจำหน่ายของ L-550X จึงไม่มากนัก และกลายเป็น “ของดีที่หายาก” (rare version) ในเวลาต่อมา ด้วยราคาแรกจำหน่าย 269,000 เยน (แพงกว่า L-550 ถึงเกือบห้าหมื่นเยนเลยทีเดียว) ดังนั้น L-550X จึงไม่มีเวอร์ชันสำหรับการส่งออก (Export version) เหมือนอย่าง L-550 โดยที่ L-550X จะไม่มีแท็ปให้สามารถเลือกระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เป็นค่าอื่นได้ นอกเหนือไปจาก “100 โวลต์ 50/60 เฮิรตซ์” เท่านั้น
…ทำไม L-550 และ L-550X จึงประสบความสำเร็จได้ขนาดนั้น….มีเทคโนโลยีโดดเด่นอะไร – บรรจุอยู่ภายในตัวของทั้ง L-550 และ L-550X จนสามารถคว้าตำแหน่ง “Best Product” มาครองได้ 2 ปีติดต่อกัน โดยพื้นฐานนั้นทั้ง L-550 และ L-550X ล้วนได้รับการออกแบบมาเป็นสเตอริโอ อินติเกรตแอมป์แบบ SS (โซลิด สเตท) ระบบการทำงานภาคเอ๊าต์พุตเป็น Class A แท้ๆ ตลอดช่วงการทำงาน (กำหนดค่า idling current เอาไว้ที่ 160mV นั่นเลยเชียวละ) โดยสามารถจ่ายกำลังขับได้ 50 วัตต์ต่อข้าง ภายใต้วงจรภาคขยายสัญญาณแบบ สเตจเดียว หรือ Single-Stage amplification ด้วยการใช้ high Gm low-noise FET ทำให้ได้ค่าเฟส (Phase) ที่ไม่ผิดเพี้ยน และสามารถดำรงรักษารายละเอียดต่างๆ ไว้ได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับสัญญาณเป็นอย่างมาก
โดยยังคงใช้หลักการ Duo-ßeta Circuit ที่สร้างชื่อลือเลื่องให้กับ LUXMAN มาก่อนหน้า (ตั้งแต่รุ่น L-58A) ทว่าได้พัฒนาสู่ Duo-ßeta Circuit /S ควบคู่กับภาคจ่ายไฟ หรือ Power supply แบบ Plus X ซึ่งนี่คือ-จุดต่าง-ที่สำคัญระหว่าง L-550 กับ L-550X ถ้าหากเป็น L-550 ก็จะใช้หม้อแปลงแบบ EI ขนาดใหญ่ถึง 400 VA ในขณะที่ L-550X จะเป็นหม้อแปลงแบบกลม หรือ Toroidal ขนาดใหญ่ของ Bando ทำงานควบคู่กับคาปาซิเตอร์เก็บสำรองพลังงานแบบ low-ESR 50V / 30,000µF, 99,99% pure aluminium chemical caps จำนวน 2 ตัว ทั้ง L-550 และ L-550X ยังใช้ระบบระบายความร้อนแบบใหม่ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดในยุคสมัยนั้น นั่นคือ Double Heat Pipes แยกสำหรับแชนแนลซ้าย-ขวา เพื่อช่วยควบคุมค่าอุณหภูมิในขณะทำงานของวงจร Class A แท้ๆ ไว้ให้คงที่ในขณะใช้งาน
นอกจากนี้วิศวกรของ LUXMAN ยังเน้นย้ำในเรื่องของการใช้ Turnover frequency สำหรับภาค Tone control เนื่องเพราะต้องการให้ผู้ใช้สามารถปรับจูนลักษณะเสียงได้ตรงตามรสนิยมรับฟังที่ต้องการ โดยพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับค่าความถี่หลักที่อยู่ใกล้เคียง ทำนองคล้ายๆมี Parametric equalizer ติดตั้งมาให้แบบกลายๆ กระนั้น โดยจะมีให้ปรับเลือกได้มากถึง 9 ค่าด้วยกันในแต่ละแถบช่วงความถี่ :- 55Hz, 77Hz, 110Hz, 155Hz, 220Hz, 310Hz, 440Hz, 620Hz, 820Hz สำหรับในช่วง Low-pass turnover และ 620Hz, 880Hz, 1.2kHz, 1.7kHz, 2.5kHz, 3.5kHz, 5kHz, 7kHz, 10kHz สำหรับในช่วง High region turnover
ทั้ง L-550 และ L-550X ล้วนได้รับการออกแบบให้ “เอาใจ” คนเล่นแผ่นเสียงมากเป็นพิเศษ ด้วยการมีปุ่มกด Phono Straight เพิ่มเติมมาให้ นอกเหนือจากการมีปุ่มกด Tone-in ซึ่งหากผู้ใช้ไม่รู้สึกจำเป็นที่จะต้องใช้ภาค Tone control ก็จะได้ไม่ต้องกดปุ่มนี้ เครื่องก็จะก้าวข้าม (Bypass) วงจรปรับแต่งเสียงนี้ไป ควบคู่กับการก้าวข้ามวงจรต่างๆที่อาจจะไม่จำเป็นต่อการใช้งานสำหรับบางคน อย่างเช่นว่า Source selector, Subsonic filter, High-cut/Low-cut, Balance เพื่อให้สัญญาณเสียงนั้นวิ่งทางตรงเข้าสู่ภาคการทำงานที่จำเป็นอย่างรวดเร็ว รายละเอียดต่างๆจะได้ไม่สูญหาย หรือลดทอนไป
วิศวกรของ LUXMAN ยังได้นำเอาวงจร Linear Equalizer ที่เคยบรรจุอยู่ในปรีแอมป์รุ่นใหญ่ๆ กลับมาใช้-ใส่ไว้ใน L-550 และ L-550X ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ผู้ใช้ที่โปรดปรานการเล่นแผ่นเสียงสามารถจะ “Tilt-up / Tilt-down” ลักษณะของ RIAA frequency response ได้อย่างละ 2 ค่า เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคลิกเสียงที่ถูกรสนิยมส่วนตัวโดยเฉพาะ (ยกความถี่สูง/ลดความถี่ต่ำ อีกนิด-อีกสักนิดน่า อะไรประมาณนั้น) ทั้งยังมีสวิทช์ “Cartridge” สำหรับปรับตั้งค่าความต้านทานภายในให้เหมาะสมกับหัวเข็ม MM และ MC ได้มากถึง 6 ค่าด้วยกัน :- 100kohm, 50kohm, 100ohm สำหรับหัวเข็ม MM และ 300ohm, 100ohm, 40ohm สำหรับหัวเข็ม MC
ครั้นช่วงต้นปีค.ศ.1985 หลังจากที่ LUXMAN เข้าไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ALPINE ได้เกือบ 1 ปี ครานี้วิศวกรของทั้ง ALPINE และ LUXMAN ได้ร่วมกันระดมความคิดในการออกแบบสเตอริโอ อินทิเกรตแอมป์ระดับเรือธงรุ่นใหม่ในชุด L- Series ขึ้นมาทดแทน L-550 และ L-550X …นั่นคือที่มาของ “L-560“ แม้ว่ารูปโฉมภายนอกจะดูแล้ว-แทบ-ไม่ต่างไปจาก L-550X …หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว “L-560“ เป็นยิ่งกว่า cosmetic variation ของ L-550X
L-560 ยังคงสืบสานความสำเร็จอย่างงดงามของ L-550X เนื่องเพราะยังถือว่าเป็นช่วงรอยต่อของการทำงานร่วมกันระหว่างทีมวิศวกร ALPINE และ LUXMAN แต่ทว่า “ภายใน” นั้นเล่า – หลายต่อหลายอย่างได้รับการปรับเปลี่ยนไป วงจร Linear Equalizer ที่เคยบรรจุอยู่ใน L-550 และ L-550X ได้ถูกตัดทิ้งไป พร้อมๆกับสวิทช์ “Cartridge” สำหรับการปรับตั้งค่าความต้านทานภายในให้เหมาะสมกับหัวเข็ม MM และ MC นั้นก็ได้ถูกปรับลดลงด้วยเช่นกัน เหลือเพียงแค่ MM (ค่าเดียว) กับค่า 100ohm และ 40ohm สำหรับหัวเข็ม MC …กระนั้น L-560 ยังมีสวิทช์ CD Straight เพิ่มเติมมาให้ นอกเหนือจาก Phono Straight อันบ่งบอกได้ถึงความนิยมของการเล่นแผ่น CD ที่กำลังมาแรง-แทนที่ความนิยมในการเล่นแผ่นเสียง
ทั้งนี้ทั้งนั้นบางคนถึงกับบอกว่า “L-560” นี่เป็นอินทิเกรตแอมป์ที่ดูแล้วงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาของ LUXMAN ด้วยความที่ปุ่มต่างๆบนแผงหน้าเครื่องได้ถูกปรับเปลี่ยนจากสีขาวตามปกติ เป็นสีออกทองแดงสุกสกาว ดูสะดุดตายิ่งกว่าธรรมดา บวกกับว่าค่าสเปคฯ นั้นก็ “กินขาด” ทั้ง L-550 และ L-550X ทำให้ L-560 น่าเสาะหามาครอบครองยิ่งนัก แต่ก็หายากยิ่งนักด้วยเช่นกัน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..