…The Ones หนึ่งนี้ “ดัง” ในอดีต…
Hafler DH-200
Stereo Power Amplifier
“ต้นแบบแห่งแอมป์ระดับพระกาฬ”
มงคล อ่วมเรืองศรี
ครั้งที่ผ่านมา นำพาท่านทั้งหลายไปรู้จักกับ “เบื้องหลัง” ของแบรนด์เครื่องหลอดฯที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก… นั่นคือ “Dynaco” ที่เปรียบเป็น “ปฐมบท” หรือ จุดเริ่มต้นของผู้คนที่ชื่นชอบใน-เสียงหลอด-แบบต้นตำรับแท้ๆ แต่ราคาไม่แรงเกินจะไขว่คว้า แม้จะผันผ่านกาลเวลาเนิ่นนานกว่าครึ่งศตวรรษ จากฝีมือการออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย ตามแบบฉบับของ audio engineer นามกระเดื่องโลก “David Hafler” (ผู้ล่วงลับจากโลกนี้ไปเมื่อปีค.ศ.2003 วันที่ 25 เดือนพฤษภาคม สิริอายุได้ 84 ปี)
อย่างที่ทราบกัน David Hafler ได้ก่อตั้ง “Dynaco” (ซึ่งความจริงก็คือชื่อที่เรียกอย่างย่อของ Dyna Company นั่นเอง) เมื่อปีค.ศ.1954 และในอีก 22 ปีต่อมาก็ได้ก่อตั้ง “David Hafler Company” ขึ้นมา โดยพุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีโซลิด-สเตทอันทันสมัยใหม่มากๆในยุคนั้น อีกทั้งยังคงยึดหลักการกระจายสินค้าแบบเดียวกับที่เคยกระทำไว้กับ Dynaco คือมีทำออกมาขายทั้งแบบที่เป็นชุดคิท (kit set) ให้นำไปประกอบใช้ได้ด้วยตัวเอง (build-it-yourself kits) และแบบประกอบสำเร็จจากโรงงาน (factory assembled) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนได้รับคำวิพากษ์ไว้ดีมากๆ ทั้งในแง่ของคุณภาพเสียงและสมรรถนะการใช้งาน
DH-101 นับเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกสุดของ David Hafler Company ที่ออกจำหน่ายเมื่อปีค.ศ.1976 จากนั้นไม่นานก็ตามติดมาด้วย “DH-200” พระเอกของเรา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเพาเวอร์ แอมป์เครื่องแรกสุดของ David Hafler Company อย่างแท้จริง อันมีความโดดเด่นอย่างมากๆอยู่ที่การใช้ Hitachi Lateral Mosfet ในภาคเอ๊าต์พุต ร่วมกับหลักการ double-differential topology ของ Erno Borbely ทำให้ได้มาซึ่งเสียงที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นหลอดฯอย่างชิดใกล้ ในขณะเดียวกันก็ใช้งานง่ายให้ความทนทาน และมีความทันสมัยสดใหม่ในการออกแบบวงจร ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าท้าทาย
“DH-200” นับเป็นปฐมบทสำหรับแนวทางการออกแบบเพาเวอร์ แอมป์แบบโซลิด-สเตทของ “Hafler” ที่สามารถสร้างคะแนนนิยมได้อย่างท่วมท้น จนเริ่มมีการ “ลอกเลียนแบบ” แนวทางกันอย่างแพร่หลายกระจายไปแทบจะทั่วทั้งโลก แม้ว่าทาง “Hafler” จะมีชุดคิท (kit set) ออกจำหน่ายควบคู่ด้วยก็ตาม
“DH-200” เป็น class AB stereo power amplifier ที่มีกำลังขับ 100 วัตต์ต่อแชนแนลที่ 8 โอห์ม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า นั่นน่ะเป็นตัวเลขกำลังขับแบบถ่อมตน เพราะถ้าเอาเข้าเครื่องตรวจวัดในห้องแล็บก็จะพบกับค่าตัวเลขที่สูงกว่านั้น แถมชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ก็คัดสรรอย่างดี จนสิ่งที่ได้ติดตามมาก็คือ ค่าสเปคฯต่างๆของ Hafler มักจะสูงกว่าค่าที่กำหนดไว้เสมอ จากความสำเร็จในแนวทางของ Hafler ที่เลือกใช้ output device แบบ Mosfet (ซึ่งหลักการทำงานของมัน คล้ายคลึงกับหลอดสุญญากาศมากยิ่งกว่าไบโพล่าร์ ทรานซิสเตอร์) ทำให้ Hafler เลือกที่จะใช้ Mosfet มาโดยตลอด จนกลายเป็น “จารีตปฏิบัติ” หรือ Tradition ของ Hafler
ในปีค.ศ.1978, Hafler ก็ได้ออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ แอมป์รุ่น DH-500 ซึ่งมีกำลังขับสูงขึ้นเป็น 255 วัตต์ต่อแชนแนลที่ 8 โอห์มจากการใช้ MOSFET มากถึง 12 ตัว …แน่นอนว่า ย่อมสร้างความฮือฮาขึ้นมาในวงการ ด้วยความเป้นสเตอริโอ เพาเวอร์ แอมป์ที่มีกำลังขับสูงมาก แถมยังสามารถทำการบริดจ์ โมโนได้ ด้วยอัตรากำลังขับเกินกว่า 800 ที่ 8 โอห์มอีกด้วย ที่สำคัญ DH-500 ยังจ่ายกระแสขาออก หรือ current output ได้สูงกว่า 20 แอมแปร์เลยทีเดียว ทำให้ “DH-500” เป็นที่นิยมใช้งานกันในแวดวงโปรเฟสชั่นแนลมากทีเดียว
Hafler มีเพาเวอร์ แอมป์อีกรุ่นที่ออกจำหน่ายไล่หลัง DH-500 นั่นคือ DH-300 ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ Monoblock version ของ DH-200 นั่นแหละ แต่ว่ามีกำลังขับเพิ่มขึ้นเป็น 300 วัตต์ที่ 8 โอห์ม ต่อมาในปีค.ศ.1979, Hafler ได้ขยายไลน์การผลิตสินค้าไปสู่อุปกรณ์ประเภทจูนเนอร์ (Tuner) เพื่อใช้ควบคู่กับแอมป์สำหรับการรับฟังรายการต่างๆทางวิทยุ พร้อมกับได้ออกปรีแอมป์ตัวใหม่มาด้วยไล่ๆกัน นั่นคือ DH-100 ซึ่งมีความโดดเด่นในตัวจนเป็นที่ยอมรับกัน ด้วยการมีภาคขยายสัญญาณหัวเข็ม MM ที่ให้คุณภาพเสียงดีมากๆ จนได้รับการพัฒนาไปสู่รุ่น DH-110 เพื่อให้สามารถรองรับได้กับการเล่นหัวเข็มแบบ MC
เมื่อมี DH-110 ที่นับเป็นปรีแอมป์คุณภาพสูง “Hafler” จึงได้ออกจำหน่าย DH-220 มาเข้าคู่กัน ซึ่งบางทีก็เรียกขานกันว่าเป็น DH-200 Series II เนื่องเพราะเป็นการ “ถอดแบบ” เอามาปรับปรุงใหม่ให้มีสมรรถนะสูงขึ้นไปอีกระดับ ที่กำลังขับ 115 วัตต์ต่อแชนแนลที่ 8 โอห์ม ในรูปแบบการทำงาน class AB stereo power amplifier เฉกเช่นเดียวกัน ด้วยการใช้ MOSFET รุ่นใหม่เอี่ยมอ่องในยุคนั้นจำนวน 12 ตัวด้วยกัน
…นับตั้งแต่ DH-200 จนมาสู่ DH-220 ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งในวงการเครื่องเสียง เฉพาะอย่างยิ่งประเภท D.I.Y. ได้มีการกล่าวขวัญถึงกันมาก จนนำไปสู่การ “ถอดแบบ” วงจรต่างๆเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ โดยใช้อุปกรณ์ที่ต่างออกไป นัยว่า เพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงที่ดีขึ้นกว่าธรรมดา แม้แต่ในบ้านเราก็ไม่ต่างกัน ทั้ง DH-200 และ DH-220 ล้วนถูกนำมาเป็น “ต้นแบบ” ในการสร้างเพาเวอร์ แอมป์ฝีมือของคนไทยหลายต่อหลายสำนักด้วยกัน ซึ่งก็ล้วนสัมฤทธิ์ผลทางด้านคุณภาพเสียงกันถ้วนหน้า (นักเล่นเครื่องเสียงรุ่นเก๋าบางท่านยังมีเก็บสะสมอยู่ในครอบครองด้วยซ้ำ) เนื่องเพราะ “David Hafler” นั้นได้ทุ่มเทการออกแบบเอาไว้ แบบว่าให้ระบือลือลั่นประดับไว้ในวงการ
แม้ว่า “Hafler” จะมีปรีแอมป์และเพาเวอร์ แอมป์ออกจำหน่ายมาอีกมากมายหลายรุ่น แต่ก็ไม่มีรุ่นใดที่สร้างชื่อลือลั่นได้เทียบชั้นกับ DH-200 และ DH-220 เลย แม้ว่าบางรุ่นจะ “จงใจ” ถอดแบบวงจรเอามาใช้ตรงๆก็ตาม (อาทิเช่นรุ่น P-225) กระทั่งในปีค.ศ.1987, David Hafler Company ก็ได้ถูกขายกิจการให้แก่ Rockford Corporation, Jim Strickland ซึ่งทำหน้าที่ chief engineer ของ “Hafler” ในขณะนั้น ยังคงรับภาระต่อไป และยังได้ถือครองลิขสิทธิ์ในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของเขาเอง ด้วยการออกแบบวงจรใหม่ “Dynamically Invariant Amplification Optimized Nodal Drive หรือ Diamond ในการสร้าง Transnova 9500 Power Amplifier ขึ้นมาประดับไว้ในวงการ ด้วยราคาจำหน่าย ณ ขณะนั้น 2,000 ดอลล่าร์สหรัฐโดยประมาณ และต่อมาก็ได้ถูก Jim Strickland นั่นแหละจับมาพัฒนาต่อยอดไปสู่ “PRO-9505” ที่สามารถรองรับการใช้งานได้กับโปรเฟสชั่นแนล ด้วยการมี balanced inputs
ในปีค.ศ.1995 ชื่อ “Hafler” ก็จางหายไปจากแวดวงไฮ-ไฟ โดยถูกพุ่งเป้าไปที่การสร้างแอมปลิฟายเออร์ออกจำหน่ายให้กับแวดวงสตูดิโอโดยเฉพาะ แต่ต่อมาในปีค.ศ.2014 ทาง Rockford Corporation ก็ได้ทาบทาม “Radial Engineering Ltd.” ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในแคนาดา (Canadian based) ให้เข้ามาซื้อกรรมสิทธิ์ของ ‘Hafler brand’ – ทุกวันนี้ชื่อ “Hafler” จึงยังคงดำรงอยู่ไม่ถูกลืมเลือนไป แม้ว่าจะอยู่ในฐานะแผนกหนึ่งของ (a division of ) Radial Engineering Ltd. …นี่แหละหนา ผู้คนในวงการจึงต่างยกย่องให้ “David Hafler” เปรียบเสมือน Henry Ford ของแวดวงไฮ-ไฟ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..