โฆษิต มโนมัยอุดม
อย่าแปลกใจหรือสงสัยนะครับ ว่าทำไมถึงหยิบเอา The Mist มาเขียนถึง จากเดิมกะว่าจะเขียนถึง No Time to Die แต่หลังจากหาข้อมูลมาจนกำลังจะพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์แล้ว เพิ่งมีข่าวล่ามาเร็วว่า ปฏิบัติการภาคล่าสุดของเจมส์ บอนด์ ถูกโควิดกระชากไปไกลถึงกันยาฯ โน่น
หันไปหันมาเมื่อไม่มีหนังใหม่เอาซะเลย จึงขอมาลงเอยที่ The Mist หนังเก่าของปี 2007 ละกันเพราะอีกเหตุผลคือมีบางคนเอ่ยถึง The Mist ว่าสถานการณ์ในหนังช่างคล้ายคลึงกับสถานการณ์โควิดไม่น้อย บังเอิญผมเองเคยดูหนังเรื่องนี้ทางเน็ตตั้งแต่ครั้งหนังกำลังดังช่วงออกมาไม่นาน แต่ดูไปได้แค่ราวๆ ครึ่งเรื่อง คลิปนั้นก็ตัดไปเฉยๆ และดูต่อจนจบไม่ได้ จึงคิดว่า น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะได้ดูหนังดังเรื่องนี้ให้จบเสียทีด้วย
The Mist สร้างจากนิยายขนาดสั้นของ สตีเฟ่น คิง ราชาเรื่องเขย่าขวัญ และก็เป็นผลงานเรื่องดังเรื่องหนึ่งของเขาด้วย เพราะเป็นนิยายสยองขวัญที่สอดแทรกสาระและแนวคิดทางสังคมไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ได้ยัดเยียด แต่ก็ไม่เบาหวิว
เนื้อเรื่องก็มีง่ายๆ ว่า ที่เมืองเล็กๆ เชิงเขาแห่งหนึ่ง เกิดมีหมอกประหลาดค่อยๆ คืบคลานมาปกคลุม ชาวเมืองหลายคนกำลังหาซื้อข้าวของในซุปเปอร์มาร์เก็ตประจำเมือง หลังจากคืนที่พายุถล่ม บางคนมาซื้อของกิน บางคนมาซื้อของไปซ่อมแซมบ้านที่พังเพราะพายุ
แต่แล้วหมอกประหลาดก็เคลื่อนมาถึงที่นั่น พร้อมกับมีชาวเมืองคนหนึ่งวิ่งหนีหมอกเข้ามาได้ก่อนอย่างหวุดหวิด พร้อมกับละล่ำละลักเล่าว่า มีตัวประหลาดอะไรในหมอกที่เขามองไม่เห็น แต่มันได้ทำร้ายเพื่อนเขาบางคนบาดเจ็บล้มตายไปแล้ว
ส่วนด้านหลังซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีหนวดคล้ายปลาหมึกยักษ์ของตัวประหลาดพยามดันประตูเหล็ก จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกมันรัดและดึงหายไปในหมอก ทิ้งไว้เพียงปลายหนวดที่ถูกขวานสับขาด
ชาวเมือง 30 กว่าคนในซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ค่อยเชื่อทั้งสองเหตุการณ์ เพราะหลักฐานเดียวคือหนวดปลาหมึกก็สลายกลายเป็นควันไปหลังจากผู้อยู่ในเหตุการณ์พยายามชักชวนให้ผู้คนออกไปดูไม่นาน จึงมีคนเห็นแค่ไม่กี่คน ทำให้เกิดความขัดแย้งกันเป็นสองกลุ่มทางความเชื่อ ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าหมอกนั้นมีอันตราย อีกฝ่ายก็บอกว่าไร้สาระ มันแค่หมอกธรรมดา
หนังค่อยๆ นำคนดูไปพบกับความคิดที่แตกต่างของแต่ละคน ตามพื้นฐานทางสังคมที่แตกต่างกันไป คนต่างเมืองก็คิดว่าชาวเมืองแกล้งหลอกเขาเพราะไม่ชอบคนแปลกถิ่น คนระดับสูงก็คิดว่าคนระดับล่างไร้การศึกษามักจะเชื่อเรื่องเพ้อเจ้อ ฯลฯ
ในขณะที่หมอกมฤตยูก็ยังมีสิ่งน่าตระหนกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น แมลงยักษ์ที่บินมาเล่นไฟที่ผนังกระจกหน้าร้าน จนทะลุเข้ามาต้องไล่ฆ่ากันชุลมุน คนบาดเจ็บจากแมลงนั้นทำให้มีผู้คิดว่า ต้องไปค้นหายาจากร้านขายยาที่อยู่ติดกัน แต่จะฝ่าหมอกทึบไปได้สำเร็จหรือ ?
ในหนัง มีคนฉวยโอกาสเอาความเชื่อเรื่องพระเจ้ามาโน้มน้าวผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวทำตามที่เขาบอก เช่น ให้ขัดขวางพวกที่จะออกไปเอายา เพราะเป็นการขัดประสงค์ของพระเจ้าที่สร้างหมอกขึ้นมาเพื่อลงโทษมนุษยชาติ ฯลฯ เหมือนในสถานการณ์โควิด-19 ที่มีคนบางกลุ่มก็โทษโน่นโทษนี่ไปเรื่อย ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายก็พยายามแก้ปัญหากันอยู่
หนังยังมีอะไรในเบื้องลึกอีกมากมาย ที่ไม่อยากเอ่ยถึงเพื่ออรรถในการชม แล้วจะไม่ผิดหวัง กับหนังเขย่าขวัญที่มีแง่คิดดีๆ มากมาย จนได้รับการยกย่องและกล่าวถึงจนทุกวันนี้ครับ