What HI-FI? Thailand

Test Report : Stradivari Sonus Faber’s 40th anniversary

Sonus faber’s 40th anniversary Sonus Faber ก่อตั้งโดย Franco Serblin ในปี 1983 ในความเป็นผู้ผลิตลำโพงทำมือที่เชี่ยวชาญด้วยแนวทางอิตาลีอย่างแท้จริง Sonus Faber ให้เสียงที่ยากจะลืมเลือน ซึ่งจะทำให้คุณดื่มด่ำกับประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ คุณจะหลงใหลในเสียงเพลง และเอนหลังฟังเพลงด้วยความผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ด้วย Sonus Faber คุณจะได้รับมากกว่าความเป็นแค่ลำโพง แต่ยังเป็นงานศิลปะอีกด้วย ซึ่งบรรลุตามข้อกำหนดที่ดีที่สุด และใส่ใจในรายละเอียดอย่างที่สุด นี่คือเหตุผลที่ Sonus Faber มีประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 40 ปี ทำการผลิตลำโพงที่เป็นสัญลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การก่อตั้ง “Amati Homage” ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า ลำโพงของ Sonus Faber มีความหมายถึงคุณภาพเสียงในระดับไฮ-เอนด์

ทั้งนี้ Sonus Faber ได้ประกาศว่า ในโอกาสครบรอบ 40 ปี บริษัทจะเปิดตัวลำโพง Stradivari รุ่นที่สอง (second-generation Stradivari loudspeaker) ซึ่งเป็นลำโพงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Antonio Stradivari ผู้ผลิตไวโอลินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก Stradivari รุ่นที่สองนี้เป็นลำโพงสุดหรู ที่ได้รับการออกแบบใหม่และปรับปรุงเทคโนโลยีจาก Stradivari รุ่นดั้งเดิมของ Sonus Faber

Livio Cucuzza หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Sonus Faber ได้กล่าวว่า “มันไม่ง่ายเลยที่นักออกแบบจะจินตนาการถึงการเปิดตัวแบบเดิมอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อมีการพุดคุยกันเกี่ยวกับการออกแบบ Stradivari ใหม่ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็น่าตื่นเต้นเช่นกัน” – “เราจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยังคงยืนหยัดต่อการทดสอบของกาลเวลาและเกือบจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ (artifact) ได้อย่างไรให้ได้ประจักษ์”

“สำหรับความเป็น Stradivari รุ่นที่สอง (Stradivari G2) เราจำเป็นต้องหาวิธีนำ Stradivari มาสู่ Sonus Faber เจเนอเรชั่นใหม่นี้ เราต้องการให้แน่ใจว่า Stradivari G2 เป็นตัวแทนของความก้าวหน้าทั้งหมดที่ Sonus Faber ได้สร้างขึ้นในด้านเทคโนโลยีเสียงจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ยังคงรักษารูปลักษณ์ภายนอกและความรู้สึกคลาสสิกของความเป็น Sonus Faber เอาไว้”

เช่นเดียวกับสิ่งที่เราได้เคยนำลำโพงรุ่นดังๆ กลับมาทำซ้ำในช่วงต้นปี 2000 “Stradivari G2” ทำตามลายเซ็นที่มีสไตล์ของ Sonus Faber ซึ่งมีพื้นผิวที่สะอาดตา และงานไม้ระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม รุ่นใหม่กว่านี้ยังมีรูปทรงห้าเหลี่ยม ซึ่งตามความเห็นของ Sonus Faber ช่วยให้ได้รับประสบการณ์การฟังที่ดียิ่งขึ้นจากรูปลักษณ์แบบฉบับรอยวงรีดั้งเดิม (original elliptical footprint)

ทั้งนี้ “Stradivari G2” จะมาพร้อมกับคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

– ตัวปรับความถี่ต่ำ (Low Frequency Adjuster) ที่ให้การควบคุมเต็มรูปแบบของการปรับช่วงความถี่ต่ำพิเศษให้เข้ากับขนาดของห้องได้

– Anti-resonant Organic Basket ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงโหมดการสั่นที่เกิดจากเมมเบรนของวูฟเฟอร์

– Clepsydra Technology ออกแบบมาสำหรับท่อเปิดระบายเบส (reflex port) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลดความถี่ต่ำสูงสุด ในขณะเดียวกันก็รักษาความยาวของท่อรีเฟล็กซ์ไว้

– INTONO Technology ซึ่ง Sonus Faber รับประกันการสร้างความถี่เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลดขนาดและส่วนประกอบตัวกรองของครอสโอเวอร์ลงอย่างมาก

“Stradivari G2” ถือเป็นรุ่นพิเศษ – Unique Sound, Iconic Design – ร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีของ Sonus Faber โดยยังคงยึดมั่นในโครงสร้างที่เป็นไปตามกระบวนการทำมือแบบเดียวกับที่ใช้กับเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับพัฒนาการล่าสุด ที่ต่อยอดจาก Stradivari เวอร์ชั่นแรกดั้งเดิมเมื่อ 20 ปีก่อน โดยจะวางจำหน่ายในสีแดง, wenge (สีน้ำตาลเข้ม) และ graphite

คุณลักษณ์

อย่างที่ได้บอกไป Sonus Faber “Stradivari” เป็นลำโพงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Antonio Stradivari ผู้ผลิตไวโอลินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งก็ได้รับการตั้งชื่ออย่างเหมาะสม เนื่องจากแผงด้านหน้าตัวตู้ที่มีลักษณะแผ่กว้าง และรูปแบบที่สัมผัสได้ ทำให้นึกถึงลำตัวกลวงของไวโอลิน ภายในของ Stradivari G2 มีลักษณะซับซ้อน ซึ่งโดยหลักแล้วจะเป็นรูปทรงห้าเหลี่ยม (pentagonal shape) เมื่อมองจากด้านบนลงมา โดยที่พัฒนามาจาก footprint รูปวงรีของรุ่นดั้งเดิม ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000

ทั้งนี้ทั้งนั้นแผงด้านหน้าตัวตู้ที่แผ่กว้าง ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบัน เพราะลำโพงส่วนใหญ่ในท้องตลาดปัจจุบันใช้โปรไฟล์แผงด้านหน้าที่แคบมาก เพื่อลดความผิดปกติของการเลี้ยวเบนของเสียง (diffraction anomalies) ที่เกิดขึ้นกับการติดตั้งใช้งานตัวขับเสียงแบบ ไดนามิก (dynamic driver) ในตู้ที่มีแผงด้านหน้าแบนกว้าง แต่แน่นอนว่า นั่นต้องมีข้อยกเว้น เมื่อมีการหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาด ที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นพิเศษ

Stradivari Homage ซึ่งเป็นรุ่นดั้งเดิมเริ่มแรกนั้น ถือกันว่า เป็นผลงานชิ้นเอกเกี่ยวกับคุณภาพเสียงที่รับฟัง เมื่อดูจากรูปลักษณ์แล้ว Stradivari G2 ดูจะเป็นลำโพงที่มีองค์ประกอบดีมากๆ และสวยงามกว่ารุ่นเดิม ซึ่งแน่นอนว่า ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากบรรพบุรุษอย่างน่าน่าประทับใจ

ลำโพงแต่ละข้างมีน้ำหนักถึง 63 กก. ความสูง 54 นิ้ว และความกว้าง 28 นิ้ว โดยมีโปรไฟล์ตัวตู้ค่อนข้างตื้น ซึ่งมีความลึกน้อยกว่า 17 นิ้วที่ส่วนแผงหลังตรงกลาง ทำให้สัดส่วนคล้ายกับการออกแบบมีลักษณะเป็นระนาบ (planar design) มากกว่าแบบไดนามิก (dynamic) ตัวตู้ลำโพงตั้งอยู่บนฐานโลหะ (metal base) ความแข็งแกร่งสูง สามารถเปลี่ยนมุมแหงนได้ โดยใช้ขาแหลม (spiked feet) ที่ปรับความสูงได้จำนวน 4 ขา ซึ่งด้วยการใช้สิ่งที่ผู้ออกแบบเรียกว่า เทคโนโลยี Intono Technology โครงสร้างตัวตู้จะถูกแบ่งเป็นห้องๆ เพื่อให้มีห้องแยกเฉพาะสำหรับทวีตเตอร์และตัวขับเสียงกลาง ซึ่งจะได้รับการหน่วงหนืดภายใน (damped) ไว้ เพื่อขจัดเสียงกำทอนภายใน (internal resonances) และคลื่นสั่นค้าง (standing waves) ให้หมดไป

เช่นเดียวกับ Stradivari Homage รุ่นดั้งเดิม “Stradivari G2” ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้ว จำนวน 2 ตัว แต่เป็นไดรเวอร์ใหม่ทั้งหมด บริเวณโครงสร้างส่วนหลังมีสิ่งที่เรียกว่า ตะกร้าออร์แกนิค (organic basket) ทำหน้าที่ป้องกันเสียงสะท้อน ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงโหมดการสั่นสะเทือนที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติจากกรวยวูฟเฟอร์เยื่อกระดาษ (pulp-paper woofer cone) และชุดขับเคลื่อนวอยซ์คอยล์ ทำให้ได้เสียงเบสที่ตอบสนองได้ถึง 25 Hz

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ Sonus Faber เรียกว่า Clepsydra Technology (แปลว่า “water thief “ <โจรขโมยน้ำ> ในภาษากรีก) ซึ่งหมายถึง นาฬิกาน้ำโบราณที่ออกแบบไว้ เมื่อประมาณ 325 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีลักษณะเป็นท่อเปิด รูปทรงนาฬิกาทราย แบบยิงเสียงลง (downward-firing, hourglass-shaped bass-reflex port) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถี่ต่ำให้ถึงขีดสุด รวมถึงการใช้ไดรเวอร์เสียงกลางที่ใช้แม่เหล็กนีโอไดเมียม (Neodymium) ขนาด 6 นิ้ว ทำหน้าที่ควบคุมเสียงกลางตั้งแต่ความถี่ 160 Hz จนถึง 2,200 Hz ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Sonus Faber อันมีชื่อเสียงเป็นที่ลือเลื่อง ไดรเวอร์เสียงกลางนี้เป็นหัวใจและจิตวิญญาณของแบบฉบับเสียง ‘Sonus Faber’ ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์แบบ ซอฟต์โดม ขนาด 1 นิ้วกว่าๆ (28 มม.) ซึ่งมีค่าความไวเสียงอยู่ที่ 92 เดซิเบล ทว่ามีอิมพีแดนซ์อยู่ที่ 4 โอห์ม ดังนั้นจึงควรเลือกใช้แอมปลิฟายเออร์ที่มีสมรรถนะการจ่ายกระแสสูง และกำลังขับอยู่ในช่วงระหว่าง 100 ถึง 600 วัตต์ เพื่อความเหมาะสม

ที่บริเวณด้านหลัง ส่วนของขาตั้งใกล้กับขั้วต่อสายลำโพงทั้งสี่ (เอื้ออำนวยต่อการเดินสาย ไบ-วายร์) เป็นตัวปรับความถี่ต่ำแบบใหม่ ทำหน้าที่ปรับการตอบสนองความถี่ต่ำให้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้เข้ากับสภาพอะคูสติกในห้องฟัง นอกจากนี้ยังมีครอสโอเวอร์ เน็ตเวิร์ก ซึ่งมองเห็นอุปกรณ์ภายในบางส่วนได้ ผ่านแผงใสบริเวณส่วนกลางของแผงด้านหลังตัวลำโพง และตามธรรมเนียมของลำโพงซีรี่ส์ Sonus Faber Homage จะมีตะแกรงครอบแผงหน้าลำโพง (grille) บางๆ ที่ประกอบด้วย เส้นสายสีดำคู่ขนานที่มีระยะเว้นห่างแคบๆ เท่านั้น

ผลการรับฟัง

ขอชี้แจงสักนิดนะครับว่า ในการรับฟังของผมครั้งนี้เป็นการเดินทางมาฟังเทสต์นอกสถานที่ ณ โชว์รูมของ KS Home Entertainment ย่านรัชดาฯ ในห้องฟังซึ่งได้รับการปรับเซตอะคูลติกไว้ค่อนข้างดีพอตัว โดยที่ “Stradivari G2” ได้รับการเซตอัพไว้พอคร่าวๆ ให้ผมได้ไปขยับตำแหน่งตั้งวางให้เข้าที่อีกที โดยมีระยะห่างจากผนังหลังลำโพง 2.10 ม. ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้าย-ขวา 2.50 ม.ระยะห่างจากตำแหน่งนั่งฟังถึงแนวตั้งวางระหว่างลำโพง 3.7 ม. ซิสเต็มร่วมใช้งานเป็นของ McIntosh ระดับท้อป

น่าเสียดายที่ผมไม่เคยได้ฟัง Stradivari Homage รุ่นดั้งเดิม จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ชัดๆ …แต่ที่แน่ๆ “Stradivari G2” ไม่ได้ให้เสียงที่ฉูดฉาด แต่เปี่ยมในความราบเรียบ ระรื่น กลมกล่อม ฟังสบายๆ ไม่เคร่งครัดแบบลักษณะเสียงของลำโพงจับผิด …แม้ว่า “Stradivari G2” จะยังไม่ได้ผ่านพ้นช่วงเบิร์น-อิน แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า จับแนวทางเสียงของ “Stradivari G2” ได้ว่า ประการแรกสุดก็คือ ความตราตรึงใจที่ได้รับจากเสียงเบสอันดื่มด่ำล้ำลึก เป็นช่วงย่านความถี่เสียงต่ำที่รับรู้ได้ว่า สามารถตอบสนองลงไปได้จนถึงก้นบึ้งอย่างแท้จริง

มิใช่เป็นเพียงแค่ฮาร์มอนิกเสียง แบบที่เรา-ท่านมักจะรับรู้ได้จากลำโพงตู้เปิดทั่วไป วูฟเฟอร์คู่แบบ เนื้อเยื่อกรวยกระดาขนาด 10 นิ้วของ “Stradivari G2” เคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำในช่วงจังหวะเวลา สามารถผลักดันมวลอากาศให้เคลื่อนที่ได้เป็นปริมาณมาก เสริมเข้ากับระบบตู้เปิด bass reflex ใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ช่วงความถี่เสียงต่ำอันลึกล้ำจึงถูกปล่อยผ่านออกมา ด้วยค่าเฟสที่ถูกต้องและกลมกลืนกับเสียงจริงที่เปล่งออกมาจากวูฟเฟอร์ทั้งสองตัว ต้องขอยอมรับจริงๆ ว่า ความถี่ต่ำที่ออกมาจาก “Stradivari G2” นั้น ไม่เคยได้ฟังอย่างอิ่มเอมใจเยี่ยงนี้มาก่อน… !!!

ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการถัดมา นอกเหนือจากเสียงเบสที่เปี่ยมในพละกำลัง ควบคุมตัวได้ดี และยังทิ้งทอดตัวลงไปได้ลึกล้ำเต็มที่อย่างแท้จริงดังที่บอกไว้ตอนต้นแล้วนั้น ก็คือว่า “Stradivari G2” ยังให้ไดนามิกเสียงอันฉับไว เปี่ยมในเรี่ยวแรงกระแทกกระทั้น ทั้งในแง่ของความกระชับ กระฉับกระเฉงในท่วงท่า-จังหวะจะโคนของดนตรีไม่มีความหน่วงหนืดใดๆ ในขณะเดียวกันเสียงต่างๆ ที่รับฟังก็ล้วนมีความอบอุ่น อิ่มฉ่ำ ให้ความมีตัวมีตนของเสียง สมจริงสมจังอย่างเสียงที่ได้ยินได้ฟังในธรรมชาติ ดังนั้นเสียงที่รับฟังจาก “Stradivari G2” จึงมีท่วงทำนองดนตรีที่แน่นปึ๊ก เข้มข้น รุกเร้าไม่แช่มช้า ฟังได้มันส์ซะใจ จนพูดได้ว่า “เยี่ยมยอด”

ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 3 ก็คือว่า “Stradivari G2” ได้ทำให้การรับฟังเพลงและดนตรีรับรู้ได้ถึงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่จริงจากสรรพเสียงที่กำลังรับฟัง รายละเอียดเสียงสารพัดพรั่งพรูออกมาอย่างจะแจ้ง สำแดงศักยภาพความเป็น 3 มิติของเสียงได้อย่างครบถ้วนโดยไม่ต้องใช้จินตนาการ ทั้งในแง่ความแผ่กว้าง-ความสูง และความลึกในสภาพซาวด์สเตจ พร้อมทั้งบรรยากาศห้อมล้อม หรือ atmosphere อันอบอวลสมจริง ยิ่งกว่านั้นทางด้านของเสียงร้อง (vocal) ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ฟังดูอิ่มเอิบ มีชีวิตชีวา ราวกับว่านักร้องนั้นกำลังปรากฏกายอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงและดนตรีที่กำลังรับฟัง แสดงถึงศักยภาพทางเสียงของมิดเรนจ์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Sonus Faber ในขณะที่ช่วงความถี่เสียงสูงนั้นก็ไม่ขึ้นขอบแข็งกร้าว หรือจัดจ้า

“Stradivari G2” สามารถส่งมอบช่วงย่านความถี่เสียงสูงอันพละพลิ้ว ลอยตัว เต็มเปี่ยมในความมีชีวิตชีวา และทิ้งทอดตัวได้ยาวไกล ในขณะที่หางเสียงสูงๆอย่างฉิ่ง-ฉาบ-เหล็กสามเหลี่ยมก็เปี่ยมในความกังวาน-ยาวไกลไปสุดตัว และยังบ่งบอกเสียงลมพ่น-กัดหูน้อยๆของเครื่องดนตรีประเภท brass และเสียงลมเป่า-เป็นละอองของเครื่องดนตรีประเภท woodwind ได้เป็นธรรมชาติสมจริงมาก สามารถให้ความแจ่มชัด และสดสว่าง ควบคู่ด้วยความสะอาดสะอ้านของเสียง จนขอบอกว่า รู้สึกทึ่งมาก ด้วยว่าสามารถจับเสียงดนตรีโน่น-นี่-นั้นได้ถนัดหูราวกับมองเห็นเป็นตัวเป็นตนเลยทีเดียว “Stradivari G2” ให้รายละเอียดเสียงต่างๆ ได้อย่างระยิบระยับ ไร้ซึ่งสากเสี้ยน จัดจ้าน กร้านหู เสียงเพลงและดนตรีที่เคยฟังแล้วไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอะไร ก็เคลียร์ละครับคราวนี้

ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 4 ก็คือว่า คุณจะรับรู้ได้ถึงสเกลเสียงอันสมจริง ไม่ใหญ่-ไม่เล็กผิดไปจากสภาพอันเป็นจริงอย่างที่เราเคยได้ฟังเสียงนั้นๆ ในธรรมชาติ ด้วยขนาดเวทีเสียงที่แผ่กว้างเลยตำแหน่งตั้งวางลำโพงซ้าย-ขวาออกมาข้างละร่วมเมตร ซึ่งถ้าลองฟังกับแนวดนตรีแสดงสด คุณจะรู้สึกราวกับเข้าไปอยู่ท่ามกลางสภาพเสียงในเหตุการณ์จริง ณ ขณะนั้นเลยทีเดียวเชียวละ …นี่ยิ่งทำ

ให้การรับฟัง “Stradivari G2” มีความเพลิดเพลินจำเริญใจ ยิ่งอยากนำเพลงนั้นเพลงนี้มาเปิดฟัง เพื่อดูซิว่า จะรับรู้ได้ถึงอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นกว่าที่คุ้นชิน…

ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 5 ก็คือว่า ด้วยการใช้วูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้วสองตัวทำงานร่วมกัน ทำให้มีพื้นที่ในการผลักดันมวลอากาศได้เป็นปริมาณมากๆ ไปพร้อมกัน ซึ่งการใช้ตัวขับเสียงขนาด 10 นิ้วสองตัวทำงานร่วมกัน ทำให้ยังคงได้รับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยซ่อนตัวอยู่ในช่วงความถี่เสียงต่ำ เรา-ท่านจึงรับฟังเสียงเพลงและดนตรีที่มีความครบถ้วน แม้ว่าจะรับฟังในระดับความดังเสียงที่ไม่มากมายอะไรเลย และเมื่อคราใดที่ต้องการความสาแก่ใจ ก็มั่นใจได้ว่า ศักยภาพของวูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้วสองตัวนี้จะตอบสนองต่อความต้องการในระดับพีคสุดของคุณได้ โดยไม่ต้องมาระแวงระวังกลัวว่าลำโพงจะรับมือไม่ไหว

แม้ว่า “Stradivari G2” จะยังไม่ได้ผ่านพ้นช่วงเบิร์น-อิน แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า “Stradivari G2” ให้ความแม่นยำในท่วงท่า-จังหวะจะโคนของดนตรีได้ดีมากๆ รวมทั้งความสดสะอาด ความโปร่งกระจ่างก็ทำได้ดีเยี่ยมเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า ลำโพงหน้ากว้างใช่ว่า จะหมดยุคสมัยไปพร้อมกับความนิยมในการออกแบบตู้ลำโพงแผงหน้าแคบเช่นในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ต้องขอว่า ตำแหน่งตั้งวางนั้นจำเป็นต้องมีพื้นที่โล่งๆ รอบๆ ตัว อย่าได้เอา “Stradivari G2” ไปตั้งวางอึดอู้อยู่ในห้องแคบๆ หรือตั้งวางแบบโท-อินเยอะๆ ระยะนั่งฟังใกล้ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณสูญเสียความโออ่า โอฬารของเสียงอย่างที่ Sonus Faber ได้จงใจออกแบบไว้

สรุปส่งท้าย

ด้วยเหตุที่ “Stradivari G2” จงใจออกแบบเพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีของ Sonus Faber จึงมีลำโพงรุ่นนี้ผลิตออกมาจำหน่ายแค่ไม่กี่ร้อยคู่บนโลก นี่คือ ลำโพงระดับอมตะในรูปลักษณ์ดั้งเดิม แต่สุ้มเสียงตอบรับกับการฟังยุคใหม่ ในขณะเดียวกัน นี่ก็คือ ชิ้นงานศิลปะระดับเลิศที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยวิทยาการขั้นสูง เพื่อประดับไว้ในวงการลำโพงไฮ-เอ็นด์นานเท่านาน

SYSTEM

3.5 way Midrange sealed box with Intono Woofers vented box “Stealth Ultraflex“ system

LOUDSPEAKERS

Tweeter: DAD™ Arrow Point, Ø 28 mm Midrange: Neodymium Magnet System, Ø 150 mm

Exit mobile version