Sonus faber’s 40th anniversary Sonus Faber ก่อตั้งโดย Franco Serblin ในปี 1983 ในความเป็นผู้ผลิตลำโพงทำมือที่เชี่ยวชาญด้วยแนวทางอิตาลีอย่างแท้จริง Sonus Faber ให้เสียงที่ยากจะลืมเลือน ซึ่งจะทำให้คุณดื่มด่ำกับประสบการณ์เสียงที่เป็นธรรมชาติ คุณจะหลงใหลในเสียงเพลง และเอนหลังฟังเพลงด้วยความผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ด้วย Sonus Faber คุณจะได้รับมากกว่าความเป็นแค่ลำโพง แต่ยังเป็นงานศิลปะอีกด้วย ซึ่งบรรลุตามข้อกำหนดที่ดีที่สุด และใส่ใจในรายละเอียดอย่างที่สุด นี่คือเหตุผลที่ Sonus Faber มีประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 40 ปี ทำการผลิตลำโพงที่เป็นสัญลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การก่อตั้ง “Amati Homage” ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า ลำโพงของ Sonus Faber มีความหมายถึงคุณภาพเสียงในระดับไฮ-เอนด์
ทั้งนี้ Sonus Faber ได้ประกาศว่า ในโอกาสครบรอบ 40 ปี บริษัทจะเปิดตัวลำโพง Stradivari รุ่นที่สอง (second-generation Stradivari loudspeaker) ซึ่งเป็นลำโพงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Antonio Stradivari ผู้ผลิตไวโอลินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก Stradivari รุ่นที่สองนี้เป็นลำโพงสุดหรู ที่ได้รับการออกแบบใหม่และปรับปรุงเทคโนโลยีจาก Stradivari รุ่นดั้งเดิมของ Sonus Faber
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2023/08/Sonus_faber_Stradivari_second_generation.jpg)
Livio Cucuzza หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Sonus Faber ได้กล่าวว่า “มันไม่ง่ายเลยที่นักออกแบบจะจินตนาการถึงการเปิดตัวแบบเดิมอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อมีการพุดคุยกันเกี่ยวกับการออกแบบ Stradivari ใหม่ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็น่าตื่นเต้นเช่นกัน” – “เราจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยังคงยืนหยัดต่อการทดสอบของกาลเวลาและเกือบจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ (artifact) ได้อย่างไรให้ได้ประจักษ์”
“สำหรับความเป็น Stradivari รุ่นที่สอง (Stradivari G2) เราจำเป็นต้องหาวิธีนำ Stradivari มาสู่ Sonus Faber เจเนอเรชั่นใหม่นี้ เราต้องการให้แน่ใจว่า Stradivari G2 เป็นตัวแทนของความก้าวหน้าทั้งหมดที่ Sonus Faber ได้สร้างขึ้นในด้านเทคโนโลยีเสียงจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ยังคงรักษารูปลักษณ์ภายนอกและความรู้สึกคลาสสิกของความเป็น Sonus Faber เอาไว้”
เช่นเดียวกับสิ่งที่เราได้เคยนำลำโพงรุ่นดังๆ กลับมาทำซ้ำในช่วงต้นปี 2000 “Stradivari G2” ทำตามลายเซ็นที่มีสไตล์ของ Sonus Faber ซึ่งมีพื้นผิวที่สะอาดตา และงานไม้ระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม รุ่นใหม่กว่านี้ยังมีรูปทรงห้าเหลี่ยม ซึ่งตามความเห็นของ Sonus Faber ช่วยให้ได้รับประสบการณ์การฟังที่ดียิ่งขึ้นจากรูปลักษณ์แบบฉบับรอยวงรีดั้งเดิม (original elliptical footprint)
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2023/08/image-1.png)
ทั้งนี้ “Stradivari G2” จะมาพร้อมกับคุณสมบัติดังต่อไปนี้:
– ตัวปรับความถี่ต่ำ (Low Frequency Adjuster) ที่ให้การควบคุมเต็มรูปแบบของการปรับช่วงความถี่ต่ำพิเศษให้เข้ากับขนาดของห้องได้
– Anti-resonant Organic Basket ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงโหมดการสั่นที่เกิดจากเมมเบรนของวูฟเฟอร์
– Clepsydra Technology ออกแบบมาสำหรับท่อเปิดระบายเบส (reflex port) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลดความถี่ต่ำสูงสุด ในขณะเดียวกันก็รักษาความยาวของท่อรีเฟล็กซ์ไว้
– INTONO Technology ซึ่ง Sonus Faber รับประกันการสร้างความถี่เสียงกลางที่เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลดขนาดและส่วนประกอบตัวกรองของครอสโอเวอร์ลงอย่างมาก
“Stradivari G2” ถือเป็นรุ่นพิเศษ – Unique Sound, Iconic Design – ร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีของ Sonus Faber โดยยังคงยึดมั่นในโครงสร้างที่เป็นไปตามกระบวนการทำมือแบบเดียวกับที่ใช้กับเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับพัฒนาการล่าสุด ที่ต่อยอดจาก Stradivari เวอร์ชั่นแรกดั้งเดิมเมื่อ 20 ปีก่อน โดยจะวางจำหน่ายในสีแดง, wenge (สีน้ำตาลเข้ม) และ graphite
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2023/08/image-2.png)
คุณลักษณ์
อย่างที่ได้บอกไป Sonus Faber “Stradivari” เป็นลำโพงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Antonio Stradivari ผู้ผลิตไวโอลินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งก็ได้รับการตั้งชื่ออย่างเหมาะสม เนื่องจากแผงด้านหน้าตัวตู้ที่มีลักษณะแผ่กว้าง และรูปแบบที่สัมผัสได้ ทำให้นึกถึงลำตัวกลวงของไวโอลิน ภายในของ Stradivari G2 มีลักษณะซับซ้อน ซึ่งโดยหลักแล้วจะเป็นรูปทรงห้าเหลี่ยม (pentagonal shape) เมื่อมองจากด้านบนลงมา โดยที่พัฒนามาจาก footprint รูปวงรีของรุ่นดั้งเดิม ที่ได้เปิดตัวไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000
ทั้งนี้ทั้งนั้นแผงด้านหน้าตัวตู้ที่แผ่กว้าง ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบัน เพราะลำโพงส่วนใหญ่ในท้องตลาดปัจจุบันใช้โปรไฟล์แผงด้านหน้าที่แคบมาก เพื่อลดความผิดปกติของการเลี้ยวเบนของเสียง (diffraction anomalies) ที่เกิดขึ้นกับการติดตั้งใช้งานตัวขับเสียงแบบ ไดนามิก (dynamic driver) ในตู้ที่มีแผงด้านหน้าแบนกว้าง แต่แน่นอนว่า นั่นต้องมีข้อยกเว้น เมื่อมีการหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาด ที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเป็นพิเศษ
Stradivari Homage ซึ่งเป็นรุ่นดั้งเดิมเริ่มแรกนั้น ถือกันว่า เป็นผลงานชิ้นเอกเกี่ยวกับคุณภาพเสียงที่รับฟัง เมื่อดูจากรูปลักษณ์แล้ว Stradivari G2 ดูจะเป็นลำโพงที่มีองค์ประกอบดีมากๆ และสวยงามกว่ารุ่นเดิม ซึ่งแน่นอนว่า ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากบรรพบุรุษอย่างน่าน่าประทับใจ
ลำโพงแต่ละข้างมีน้ำหนักถึง 63 กก. ความสูง 54 นิ้ว และความกว้าง 28 นิ้ว โดยมีโปรไฟล์ตัวตู้ค่อนข้างตื้น ซึ่งมีความลึกน้อยกว่า 17 นิ้วที่ส่วนแผงหลังตรงกลาง ทำให้สัดส่วนคล้ายกับการออกแบบมีลักษณะเป็นระนาบ (planar design) มากกว่าแบบไดนามิก (dynamic) ตัวตู้ลำโพงตั้งอยู่บนฐานโลหะ (metal base) ความแข็งแกร่งสูง สามารถเปลี่ยนมุมแหงนได้ โดยใช้ขาแหลม (spiked feet) ที่ปรับความสูงได้จำนวน 4 ขา ซึ่งด้วยการใช้สิ่งที่ผู้ออกแบบเรียกว่า เทคโนโลยี Intono Technology โครงสร้างตัวตู้จะถูกแบ่งเป็นห้องๆ เพื่อให้มีห้องแยกเฉพาะสำหรับทวีตเตอร์และตัวขับเสียงกลาง ซึ่งจะได้รับการหน่วงหนืดภายใน (damped) ไว้ เพื่อขจัดเสียงกำทอนภายใน (internal resonances) และคลื่นสั่นค้าง (standing waves) ให้หมดไป
เช่นเดียวกับ Stradivari Homage รุ่นดั้งเดิม “Stradivari G2” ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้ว จำนวน 2 ตัว แต่เป็นไดรเวอร์ใหม่ทั้งหมด บริเวณโครงสร้างส่วนหลังมีสิ่งที่เรียกว่า ตะกร้าออร์แกนิค (organic basket) ทำหน้าที่ป้องกันเสียงสะท้อน ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงโหมดการสั่นสะเทือนที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติจากกรวยวูฟเฟอร์เยื่อกระดาษ (pulp-paper woofer cone) และชุดขับเคลื่อนวอยซ์คอยล์ ทำให้ได้เสียงเบสที่ตอบสนองได้ถึง 25 Hz
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ Sonus Faber เรียกว่า Clepsydra Technology (แปลว่า “water thief “ <โจรขโมยน้ำ> ในภาษากรีก) ซึ่งหมายถึง นาฬิกาน้ำโบราณที่ออกแบบไว้ เมื่อประมาณ 325 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีลักษณะเป็นท่อเปิด รูปทรงนาฬิกาทราย แบบยิงเสียงลง (downward-firing, hourglass-shaped bass-reflex port) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความถี่ต่ำให้ถึงขีดสุด รวมถึงการใช้ไดรเวอร์เสียงกลางที่ใช้แม่เหล็กนีโอไดเมียม (Neodymium) ขนาด 6 นิ้ว ทำหน้าที่ควบคุมเสียงกลางตั้งแต่ความถี่ 160 Hz จนถึง 2,200 Hz ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Sonus Faber อันมีชื่อเสียงเป็นที่ลือเลื่อง ไดรเวอร์เสียงกลางนี้เป็นหัวใจและจิตวิญญาณของแบบฉบับเสียง ‘Sonus Faber’ ต่อจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์แบบ ซอฟต์โดม ขนาด 1 นิ้วกว่าๆ (28 มม.) ซึ่งมีค่าความไวเสียงอยู่ที่ 92 เดซิเบล ทว่ามีอิมพีแดนซ์อยู่ที่ 4 โอห์ม ดังนั้นจึงควรเลือกใช้แอมปลิฟายเออร์ที่มีสมรรถนะการจ่ายกระแสสูง และกำลังขับอยู่ในช่วงระหว่าง 100 ถึง 600 วัตต์ เพื่อความเหมาะสม
ที่บริเวณด้านหลัง ส่วนของขาตั้งใกล้กับขั้วต่อสายลำโพงทั้งสี่ (เอื้ออำนวยต่อการเดินสาย ไบ-วายร์) เป็นตัวปรับความถี่ต่ำแบบใหม่ ทำหน้าที่ปรับการตอบสนองความถี่ต่ำให้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้เข้ากับสภาพอะคูสติกในห้องฟัง นอกจากนี้ยังมีครอสโอเวอร์ เน็ตเวิร์ก ซึ่งมองเห็นอุปกรณ์ภายในบางส่วนได้ ผ่านแผงใสบริเวณส่วนกลางของแผงด้านหลังตัวลำโพง และตามธรรมเนียมของลำโพงซีรี่ส์ Sonus Faber Homage จะมีตะแกรงครอบแผงหน้าลำโพง (grille) บางๆ ที่ประกอบด้วย เส้นสายสีดำคู่ขนานที่มีระยะเว้นห่างแคบๆ เท่านั้น
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2023/08/xK2GiC7nPhhryHBKYZtV4m-1200-80-1024x576.jpg)
ผลการรับฟัง
ขอชี้แจงสักนิดนะครับว่า ในการรับฟังของผมครั้งนี้เป็นการเดินทางมาฟังเทสต์นอกสถานที่ ณ โชว์รูมของ KS Home Entertainment ย่านรัชดาฯ ในห้องฟังซึ่งได้รับการปรับเซตอะคูลติกไว้ค่อนข้างดีพอตัว โดยที่ “Stradivari G2” ได้รับการเซตอัพไว้พอคร่าวๆ ให้ผมได้ไปขยับตำแหน่งตั้งวางให้เข้าที่อีกที โดยมีระยะห่างจากผนังหลังลำโพง 2.10 ม. ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้าย-ขวา 2.50 ม.ระยะห่างจากตำแหน่งนั่งฟังถึงแนวตั้งวางระหว่างลำโพง 3.7 ม. ซิสเต็มร่วมใช้งานเป็นของ McIntosh ระดับท้อป
น่าเสียดายที่ผมไม่เคยได้ฟัง Stradivari Homage รุ่นดั้งเดิม จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ชัดๆ …แต่ที่แน่ๆ “Stradivari G2” ไม่ได้ให้เสียงที่ฉูดฉาด แต่เปี่ยมในความราบเรียบ ระรื่น กลมกล่อม ฟังสบายๆ ไม่เคร่งครัดแบบลักษณะเสียงของลำโพงจับผิด …แม้ว่า “Stradivari G2” จะยังไม่ได้ผ่านพ้นช่วงเบิร์น-อิน แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า จับแนวทางเสียงของ “Stradivari G2” ได้ว่า ประการแรกสุดก็คือ ความตราตรึงใจที่ได้รับจากเสียงเบสอันดื่มด่ำล้ำลึก เป็นช่วงย่านความถี่เสียงต่ำที่รับรู้ได้ว่า สามารถตอบสนองลงไปได้จนถึงก้นบึ้งอย่างแท้จริง
มิใช่เป็นเพียงแค่ฮาร์มอนิกเสียง แบบที่เรา-ท่านมักจะรับรู้ได้จากลำโพงตู้เปิดทั่วไป วูฟเฟอร์คู่แบบ เนื้อเยื่อกรวยกระดาขนาด 10 นิ้วของ “Stradivari G2” เคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำในช่วงจังหวะเวลา สามารถผลักดันมวลอากาศให้เคลื่อนที่ได้เป็นปริมาณมาก เสริมเข้ากับระบบตู้เปิด bass reflex ใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ช่วงความถี่เสียงต่ำอันลึกล้ำจึงถูกปล่อยผ่านออกมา ด้วยค่าเฟสที่ถูกต้องและกลมกลืนกับเสียงจริงที่เปล่งออกมาจากวูฟเฟอร์ทั้งสองตัว ต้องขอยอมรับจริงๆ ว่า ความถี่ต่ำที่ออกมาจาก “Stradivari G2” นั้น ไม่เคยได้ฟังอย่างอิ่มเอมใจเยี่ยงนี้มาก่อน… !!!
ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการถัดมา นอกเหนือจากเสียงเบสที่เปี่ยมในพละกำลัง ควบคุมตัวได้ดี และยังทิ้งทอดตัวลงไปได้ลึกล้ำเต็มที่อย่างแท้จริงดังที่บอกไว้ตอนต้นแล้วนั้น ก็คือว่า “Stradivari G2” ยังให้ไดนามิกเสียงอันฉับไว เปี่ยมในเรี่ยวแรงกระแทกกระทั้น ทั้งในแง่ของความกระชับ กระฉับกระเฉงในท่วงท่า-จังหวะจะโคนของดนตรีไม่มีความหน่วงหนืดใดๆ ในขณะเดียวกันเสียงต่างๆ ที่รับฟังก็ล้วนมีความอบอุ่น อิ่มฉ่ำ ให้ความมีตัวมีตนของเสียง สมจริงสมจังอย่างเสียงที่ได้ยินได้ฟังในธรรมชาติ ดังนั้นเสียงที่รับฟังจาก “Stradivari G2” จึงมีท่วงทำนองดนตรีที่แน่นปึ๊ก เข้มข้น รุกเร้าไม่แช่มช้า ฟังได้มันส์ซะใจ จนพูดได้ว่า “เยี่ยมยอด”
ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 3 ก็คือว่า “Stradivari G2” ได้ทำให้การรับฟังเพลงและดนตรีรับรู้ได้ถึงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่จริงจากสรรพเสียงที่กำลังรับฟัง รายละเอียดเสียงสารพัดพรั่งพรูออกมาอย่างจะแจ้ง สำแดงศักยภาพความเป็น 3 มิติของเสียงได้อย่างครบถ้วนโดยไม่ต้องใช้จินตนาการ ทั้งในแง่ความแผ่กว้าง-ความสูง และความลึกในสภาพซาวด์สเตจ พร้อมทั้งบรรยากาศห้อมล้อม หรือ atmosphere อันอบอวลสมจริง ยิ่งกว่านั้นทางด้านของเสียงร้อง (vocal) ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ฟังดูอิ่มเอิบ มีชีวิตชีวา ราวกับว่านักร้องนั้นกำลังปรากฏกายอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงและดนตรีที่กำลังรับฟัง แสดงถึงศักยภาพทางเสียงของมิดเรนจ์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Sonus Faber ในขณะที่ช่วงความถี่เสียงสูงนั้นก็ไม่ขึ้นขอบแข็งกร้าว หรือจัดจ้า
“Stradivari G2” สามารถส่งมอบช่วงย่านความถี่เสียงสูงอันพละพลิ้ว ลอยตัว เต็มเปี่ยมในความมีชีวิตชีวา และทิ้งทอดตัวได้ยาวไกล ในขณะที่หางเสียงสูงๆอย่างฉิ่ง-ฉาบ-เหล็กสามเหลี่ยมก็เปี่ยมในความกังวาน-ยาวไกลไปสุดตัว และยังบ่งบอกเสียงลมพ่น-กัดหูน้อยๆของเครื่องดนตรีประเภท brass และเสียงลมเป่า-เป็นละอองของเครื่องดนตรีประเภท woodwind ได้เป็นธรรมชาติสมจริงมาก สามารถให้ความแจ่มชัด และสดสว่าง ควบคู่ด้วยความสะอาดสะอ้านของเสียง จนขอบอกว่า รู้สึกทึ่งมาก ด้วยว่าสามารถจับเสียงดนตรีโน่น-นี่-นั้นได้ถนัดหูราวกับมองเห็นเป็นตัวเป็นตนเลยทีเดียว “Stradivari G2” ให้รายละเอียดเสียงต่างๆ ได้อย่างระยิบระยับ ไร้ซึ่งสากเสี้ยน จัดจ้าน กร้านหู เสียงเพลงและดนตรีที่เคยฟังแล้วไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอะไร ก็เคลียร์ละครับคราวนี้
ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 4 ก็คือว่า คุณจะรับรู้ได้ถึงสเกลเสียงอันสมจริง ไม่ใหญ่-ไม่เล็กผิดไปจากสภาพอันเป็นจริงอย่างที่เราเคยได้ฟังเสียงนั้นๆ ในธรรมชาติ ด้วยขนาดเวทีเสียงที่แผ่กว้างเลยตำแหน่งตั้งวางลำโพงซ้าย-ขวาออกมาข้างละร่วมเมตร ซึ่งถ้าลองฟังกับแนวดนตรีแสดงสด คุณจะรู้สึกราวกับเข้าไปอยู่ท่ามกลางสภาพเสียงในเหตุการณ์จริง ณ ขณะนั้นเลยทีเดียวเชียวละ …นี่ยิ่งทำ
ให้การรับฟัง “Stradivari G2” มีความเพลิดเพลินจำเริญใจ ยิ่งอยากนำเพลงนั้นเพลงนี้มาเปิดฟัง เพื่อดูซิว่า จะรับรู้ได้ถึงอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นกว่าที่คุ้นชิน…
ความตราตรึงใจที่ได้รับจาก “Stradivari G2” ประการที่ 5 ก็คือว่า ด้วยการใช้วูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้วสองตัวทำงานร่วมกัน ทำให้มีพื้นที่ในการผลักดันมวลอากาศได้เป็นปริมาณมากๆ ไปพร้อมกัน ซึ่งการใช้ตัวขับเสียงขนาด 10 นิ้วสองตัวทำงานร่วมกัน ทำให้ยังคงได้รับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยซ่อนตัวอยู่ในช่วงความถี่เสียงต่ำ เรา-ท่านจึงรับฟังเสียงเพลงและดนตรีที่มีความครบถ้วน แม้ว่าจะรับฟังในระดับความดังเสียงที่ไม่มากมายอะไรเลย และเมื่อคราใดที่ต้องการความสาแก่ใจ ก็มั่นใจได้ว่า ศักยภาพของวูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้วสองตัวนี้จะตอบสนองต่อความต้องการในระดับพีคสุดของคุณได้ โดยไม่ต้องมาระแวงระวังกลัวว่าลำโพงจะรับมือไม่ไหว
แม้ว่า “Stradivari G2” จะยังไม่ได้ผ่านพ้นช่วงเบิร์น-อิน แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า “Stradivari G2” ให้ความแม่นยำในท่วงท่า-จังหวะจะโคนของดนตรีได้ดีมากๆ รวมทั้งความสดสะอาด ความโปร่งกระจ่างก็ทำได้ดีเยี่ยมเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นการพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า ลำโพงหน้ากว้างใช่ว่า จะหมดยุคสมัยไปพร้อมกับความนิยมในการออกแบบตู้ลำโพงแผงหน้าแคบเช่นในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ต้องขอว่า ตำแหน่งตั้งวางนั้นจำเป็นต้องมีพื้นที่โล่งๆ รอบๆ ตัว อย่าได้เอา “Stradivari G2” ไปตั้งวางอึดอู้อยู่ในห้องแคบๆ หรือตั้งวางแบบโท-อินเยอะๆ ระยะนั่งฟังใกล้ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณสูญเสียความโออ่า โอฬารของเสียงอย่างที่ Sonus Faber ได้จงใจออกแบบไว้
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2023/08/sonus-faber-stradivari-40th-anniversary.jpg)
สรุปส่งท้าย
ด้วยเหตุที่ “Stradivari G2” จงใจออกแบบเพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีของ Sonus Faber จึงมีลำโพงรุ่นนี้ผลิตออกมาจำหน่ายแค่ไม่กี่ร้อยคู่บนโลก นี่คือ ลำโพงระดับอมตะในรูปลักษณ์ดั้งเดิม แต่สุ้มเสียงตอบรับกับการฟังยุคใหม่ ในขณะเดียวกัน นี่ก็คือ ชิ้นงานศิลปะระดับเลิศที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยวิทยาการขั้นสูง เพื่อประดับไว้ในวงการลำโพงไฮ-เอ็นด์นานเท่านาน
SYSTEM
3.5 way Midrange sealed box with Intono Woofers vented box “Stealth Ultraflex“ system
LOUDSPEAKERS
Tweeter: DAD™ Arrow Point, Ø 28 mm Midrange: Neodymium Magnet System, Ø 150 mm