DAWN NATHONG
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1420-1024x683.jpg)
สายไฟเอซีแบรนด์ไทยคุณภาพระดับสากล
ผู้เขียนได้รู้จักกับแบรนด์สินค้า LIFE AUDIO อย่างจริงจังเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีโอกาสได้ร่วมสัมภาษณ์คุณหน่อย (วรวุฒิ วินาสันตุ) ตัวแทนทีมงานของ LIFE AUDIO ที่ดูแลฝ่ายการตลาด มาเล่าถึงคอนเซ็ปต์การออกแบบ กระบวนการผลิต รวมถึงแผนการตลาดที่กำหนดเป็นลำดับขั้นตอนได้น่าสนใจ และทำให้ชื่อของ LIFE AUDIO เริ่มเป็นที่พูดถึงกันในวงกว้างได้มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคุณภาพหรือระดับราคา
เหตุที่แบรนด์ LIFE AUDIO เริ่มเป็นที่รู้จัก และถูกพูดถึงในบ้านเรา รวมถึงเมื่อนำไปจัดแสดงในต่างประเทศ ผู้เขียนคิดว่าส่วนหนึ่งนอกจากในเรื่องคุณภาพแล้ว มาจากการเล่นกับค่านิยมของสินค้าแบรนด์ไทย ในมุมมองผู้บริโภคได้อย่างฉลาด ด้วยการที่กล้าผลิตสินค้าตั้งแต่ระดับเริ่มต้นเพียงหลักพัน ไปจนถึงหลักแสน และล่าสุดกับสายไฟเอซีรุ่น THE MASTERPIECE ราคาหนึ่งล้านหนึ่งแสนบาท
ครับ ท่านอ่านไม่ผิด เรียกว่าราคานั้น ท้าชนกับสายไฟเอซีรุ่นท็อป ๆ ของต่างประเทศหลายแบรนด์กันเลย แน่นอนว่า เมื่อมีคนไทยกล้าที่จะผลิตสายไฟเอซีระดับราคาตัวเลขหกหลักออกมาจำหน่าย ย่อมเกิดเป็นประเด็นและเกิดการตั้งคำถาม พูดปากต่อปากกันไปในวงกว้าง ไม่ว่าสินค้านั้นจะสามารถเทียบชั้นระดับเดียวกับแบรนด์เนมไฮเอ็นด์ของต่างประเทศได้จริงหรือไม่ เพราะยังไม่มีบทความทดสอบอย่างเป็นทางการ แต่ชื่อของ LIFE AUDIO ก็ดูจะกลายเป็นที่จดจำไปโดยปริยาย
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/ดาวน์โหลด-34-1024x576.jpg)
ส่วนในเรื่องของคุณภาพเสียง ย่อมพิสูจน์ด้วยการฟัง และเสียงจากผู้ใช้จะเป็นสิ่งการันตีเองว่า สายเส้นนั้น ๆ เป็นของจริงสมราคาที่จ่ายหรือไม่ คุณหน่อยก็พร้อมที่จะให้ลูกค้านำสินค้าไปทดลองใช้เพื่อพิสูจน์คุณภาพ ซึ่งทางผู้เขียนทราบมาว่าลูกค้าของคุณหน่อยเอง ก็เป็นนักเล่นระดับบิ๊กซิสเต็มอยู่หลายท่าน ก็เป็นการการันตีคุณภาพได้ระดับหนึ่ง แถมยังมีบริการรับเทรดสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยับขยายจากรุ่นเล็กเป็นรุ่นใหญ่ขึ้นอีกต่างหาก ก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้อย่างดี
EXPERIENCE MK II เป็นสายไฟเอซีรุ่นใหม่ล่าสุดที่ LIFE AUDIO เพิ่งผลิตออกมาสด ๆ ร้อน ๆ จัดว่าเป็นรุ่นที่อยู่ในระดับบน เหนือกว่ารุ่น Classic MK ll ขึ้นมาอีกสเต็ป ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนจะได้นำมาทดสอบในครั้งนี้
รายละเอียดที่น่าสนใจ
LIFE AUDIO เกิดจากการรวมตัวกัน ของทีมออกแบบและวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา รวมถึงทีมทดสอบ ที่ใช้การวัดผลด้วยเครื่องมือในห้องแล็ปทดสอบของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์ รวมถึงการฟังด้วยหู ซึ่งอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวของคุณหน่อยเอง ร่วมกับนักเล่นมากประสพการณ์อีกหลายท่าน เปรียบเทียบคุณภาพร่วมกับสายแบรนด์เนมต่าง ๆ จนมั่นใจว่าคุณภาพนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าสายในพิกัดราคาใกล้เคียงกัน
สิ่งที่ต่างจากผู้ผลิตรายอื่นส่วนใหญ่ เนื่องจาก LIFE AUDIO เลือกใช้วิธีการสั่งซื้อตัวนำต่างชนิดต่างขนาด ทั้งแบบสายฝอยหรือแกนเดียว รวมถึงฉนวนและวัสดุประกอบอื่น ๆ ที่ใช้ผลิตสาย จากหลากหลายแบรนด์ผู้ผลิต แล้วนำมาผสมผสาน เพื่อค้นหาสัดส่วนที่เหมาะสมลงตัวมากที่สุด สำหรับสายในแต่ละรุ่นของ LIFE AUDIO เกิดเป็นสูตรในการผสมตัวนำต่างชนิด ต่างขนาด และฉนวนต่าง ๆ มากมาย และมีการทำวิจัยต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ วิธีนี้ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการสั่งผลิตสายเป็นม้วนสำเร็จจากผู้ผลิตรายเดียวมาก เพราะจำเป็นต้องลองผิดลองถูก เพื่อหาข้อดี-ข้อเสียเองทั้งหมด
ส่วนของสายไฟเอซี ต้องทำที่ความยาวมาตรฐาน 2 เมตร หากผลิตออกมาแล้ว เทสวัดผลไม่ได้ตามเกณท์ที่กำหนด ก็จำเป็นต้องทิ้งสถานเดียว แม้จะดูเป็นกรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อนยุ่งยาก รวมถึงใช้ต้นทุนสูงกว่าปกติ แต่ก็ทำให้ได้สายที่ตรงตามอุดมคติของ LIFE AUDIO มากที่สุด
FBE (FREQUENCY BALANCE EVOLUTION)
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/2-4.png)
โครงสร้างของสายไฟเอซี EXPERIENCE MK II ใช้เทคนิคการผสานตัวนำและฉนวนต่างชนิดที่เรียกสั้น ๆ ว่า FBE เหมือนกับสายไฟเอซีรุ่นอื่น ๆ ของ LIFE AUDIO หลักการคร่าว ๆ คือมีการแบ่งโครงสร้างสายออกเป็นทั้งหมด 7 กลุ่ม แยกสำหรับ LINE และ NEUTRAL อย่างละ 3 กลุ่ม และ GROUND อีกหนึ่งกลุ่ม
ซึ่งในแต่ละกลุ่มทั้งของ LINE และ NEUTRAL ก็จะมีการเลือกใช้กลุ่มตัวนำต่างชนิดและขนาดกัน รวมถึงเทคนิคการจัดโครงสร้างตัวนำ ทั้งแบบตีเกลียวและไม่ตีเกลียว เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดย่านความถี่แต่ละย่านอย่างสมดุลกันทั้งต่ำ กลาง และสูง ส่วนกราวด์เท่าที่ผู้เขียนสังเกตดูน่าจะใช้เป็นตัวนำแกนเดี่ยวเส้นเดียววางตัวอยู่กึ่งกลางตัวนำกลุ่มอื่นที่ตีเกลียวอยู่ล้อมรอบ โดยตัวนำของแต่ละกลุ่มจะแขวนลอยอยู่ในท่อ PU หรือโพลียูรีเทน ทำให้เกิดช่องอากาศทำหน้าที่เป็นฉนวนอีกชั้นไปในตัว
ตัวนำที่ใช้ในสายไฟเอซีรุ่น EXPERIENCE MK II มีทั้งหมด 4 ชนิด หลัก ๆ คือทองแดงบริสุทธิ์หรือ OFC (OXYGEN FREE COPPER) กับทองแดงที่ผ่านกรรมวิธี OCC (OHNO CONTINUOUS CASTING) ทั้งหมด 6 ขนาด โดยขนาดตัวนำทั้งหมดรวมกันแล้ว มีขนาดหน้าตัดประมาณ 9 สแควร์มิล ประกอบด้วย
- PURE COPPER OFC
- OCC PURE COPPER
- OCC PURE COPPER เคลือบทอง
- OCC PURE COPPER เคลือบเงิน
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1428-1024x683.jpg)
ฉนวนชั้นนอกที่หุ้มสายตัวนำมีทั้งหมด 5 ชั้น ได้แก่
- ชั้นที่ 1 ฉนวนท่ออากาศหรือ AIR TUBE ป้องกันการดูดความชื้นและป้องกันการกดทับหรือหักงอ
- ชั้นที่ 2 ฉนวนชิลด์ทองแดง PURE COPPER เพื่อดึงสัญญาณรบกวนลงกราวด์
- ชั้นที่ 3 ฉนวนป้องกันสัญญาณแทรกซ้อน (COMPLICATIONS)
- ชั้นที่ 4 ฉนวนป้องกันสนามแม่เหล็กรบกวน (MAGNETIC FIELD)
- ชั้นที่ 5 ฉนวนชิลด์ไนล่อนป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิต (STATIC ELECTRICITY)
ทั้งจำนวนของตัวนำรวมกับฉนวนหลายชั้นที่หุ้ม ทำให้สายไฟเอซีเส้นนี้มีขนาดที่ใหญ่และดูน่าเกรงขามทีเดียว แต่หากจะนำไปใช้ในจุดที่มีพื้นที่จำกัดอาจจะขยับขยายยากสักนิด เพราะตัวสายมีน้ำหนักและมีความแข็งระดับหนึ่ง ผู้เขียนไม่แนะนำให้ฝืนดัดโค้งงอสายมากเกินไป เพราะอาจทำให้เนื้อสายเกิดความเครียดและโครงสร้างสายเกิดการบิดตัว ส่งผลกระทบต่อคุณภาพเสียงได้ ทางที่ดีควรมีพื้นที่ให้สายทิ้งตัวได้อิสระสักเล็กน้อยจะดีที่สุด
หัวท้ายของสายเส้นนี้ใช้ปลั๊กออดิโอเกรดรุ่นเคลือบทองของ WATTGATE รุ่น 330 EVO และ 350 EVO ที่อัพเกรดด้วยปลอกอลูมิเนียมกลึงสั่งทำพิเศษ
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1426-1024x683.jpg)
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1413-1024x683.jpg)
จากข้อมูลประกอบ สายไฟเอซี LIFE AUDIO รุ่นที่มีหน้าตัดเฟสเดียวขนาด 9.16 สแควร์มิล และสายกราวด์หน้าตัด 2.4 สแควร์มิล สามารถจ่ายกระแสต่อเนื่องที่ 51 แอมป์ (เทียบเท่า 11,220 วัตต์) ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่เกิดความร้อนสะสมใด ๆ ขึ้นภายในตัวสายและฉนวน เนื่องจากสายมีค่าความต้านทานภายในน้อยมาก และเกิดการสูญเสียพลังงานต่ำ
การติดตั้งและเซ็ทอัพ
เส้นที่อยู่ในมือผู้เขียนเป็นสายใหม่เอี่ยม ซึ่งยังไม่พ้นชั่วโมงเบิร์นอิน ชั่วโมงแรก ๆ ของการใช้งาน ปลายเสียงยังติดความแข็งอยู่บ้าง ไม่ถึงกับพลิ้วไหวละเอียดอ่อนนัก ซึ่งก็เป็นไปตามคาดของสายลักษณะนี้ โดยประสบการณ์ส่วนตัว สายที่มีตัวนำเยอะรวมถึงเป็นสายแกนเดี่ยว หุ้มฉนวนหลายชั้น จำเป็นต้องใช้เวลาเบิร์นอินนานสักหน่อย และอย่าเพิ่งรีบตัดสินอะไรตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการใช้งานเด็ดขาด
ผู้เขียนทำการเสียบสายไฟเอซี EXPERIENCE MK II เข้ากับปลั๊กผนังและใช้งานเป็นสายไฟเมนเข้าระบบทั้งหมด รวมถึงสลับไปใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งประเภทกินไฟต่ำอย่างเครื่องเล่นซีดี, เน็ตเวิร์คเพลเยอร์ รวมถึงอุปกรณ์กินไฟสูงอย่างอินทิเกรตแอมป์และปรีแอมป์ เพื่อประเมินผลเบื้องต้น รวมเวลาได้ประมาณเกือบสองร้อยชั่วโมง (เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย) เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของรายละเอียดและน้ำเสียงอีก จึงเริ่มต้นทำการทดสอบจริงจัง ซึ่งตำแหน่งการใช้งานของสายไฟเอซีเส้นนี้ ควรนำไปใช้กับอุปกรณ์กินไฟสูงหรือใช้เป็นสายไฟเมนของซิสเต็มจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ดีที่สุด
ผลการลองฟัง
คุณสมบัติที่โดดเด่นของสายไฟเอซี EXPERIENCE MK II เส้นนี้คือ เป็นสายที่ให้พละกำลังพลังอัดฉีดของเสียงที่ล้นเหลือ เหมือนกับเพิ่มกำลังขับแฝงให้แอมป์ขึ้นไปอีกสักเท่าตัว มีความชัดเจนของเสียงมากกว่าเน้นที่ความนุ่มนวล หลังจากเสียบใช้งานแล้วจะรับรู้ได้ถึงพลังดีดตัวชิ้นดนตรีต่าง ๆ ในบทเพลงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1410-1024x683.jpg)
แต่สิ่งที่ทำให้ EXPERIENCE MK II แตกต่างไปจากสายไฟเอซีประเภทที่เน้นพละกำลังทั่ว ๆ ไป และทำได้โดดเด่นมากคือ การเลือกที่จะถ่ายทอดเสียงต่าง ๆ เหล่านั้นออกมาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ในจังหวะที่เบาก็ควรเบา หนักก็ควรหนัก ฟังออกได้อย่างชัดเจนไม่คลุมเครือ ทำให้เกิดสีสันของบทเพลงที่มีความสมจริง และชวนให้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นแนวเพลงที่เน้นจังหวะจะโคน หรือแนวเพลงที่เน้นความต่อเนื่องของเสียง หรือจะเรียกว่าให้ไดนามิกของเสียงที่ชัดเจนเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าเน้นมากจนเกินเหตุ ซึ่งทำให้ล้าหูเวลาฟังเพลงต่อเนื่องนาน ๆ
ส่วนตัวผู้เขียนเคยทดสอบสายไฟเอซี AUDIENCE รุ่น AU24 SX ราคาร่วมสองแสนบาท ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในตองอูด้านไดนามิกคอนทราสต์และความละเอียดอ่อนของเสียงมากที่สุดเส้นหนึ่งที่ผู้เขียนเคยทดสอบมา เมื่อเทียบกับ EXPERIENCE MK II ที่มีราคาค่าตัวถูกกว่าเกือบครึ่งแล้ว
แม้ AU24 SX จะได้เปรียบเรื่องการถ่ายทอดไดนามิกของเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ละเอียดอ่อนยิบย่อยมากกว่า แต่ด้านคุณสมบัติของการถ่ายทอดไดนามิกที่จะแจ้งนั้น EXPERIENCE MK II ทำคะแนนได้ดีกว่า และเป็นความจะแจ้งของไดนามิกที่มาพร้อมรายละเอียดในทุกย่านความถี่อย่างเท่าเทียมกัน สังเกตุจากเสียงดนตรีแผ่วเบาแค่ไหนก็ยังมีรายละเอียดให้ติดตามได้ตลอดจนสุดหางเสียง และไม่ถูกกลบไปด้วยพลังงานของเสียงที่ดังกว่า
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1414-1024x683.jpg)
คุณสมบัติด้านความเป็นกลางในน้ำเสียงก็ถือว่าทำได้โดดเด่น เรียกว่าเป็นสายไฟเอซีที่มีบุคลิกส่วนตัวน้อยมากเส้นหนึ่ง เพราะหลังจากเสียบใช้งานสายไฟเอซีเส้นนี้เข้าไปในระบบแล้ว พบว่าโทนัลบาล้านซ์ของเสียงแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไรนัก มีเพียงพละกำลังอัดฉีด และการถ่ายทอดเรนจ์ของไดนามิกเสียงดูที่เปิดกว้างเป็นอิสระ และสวิงหนัก-เบาได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้นไปอีกระดับ
นอกจากนี้ยังช่วยเปิดเผยบุคลิกเสียงของอุปกรณ์ใช้งานร่วมกับสายเส้นนี้ออกมาอย่างเต็มพิกัด โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้งานเป็นสายไฟเมนของทั้งระบบ ดูจะเป็นตำแหน่งที่สำแดงอานุภาพของสายไฟเอซีเส้นนี้ออกมาได้สูงสุดในห้องทดสอบของผู้เขียน เพราะมันช่วยเปิดเผยรายละเอียดและน้ำเสียงจริง ๆ ของซิสเต็มออกมาอย่างหมดจด เหมือนปัดเป่าม่านหมอกคลุมเครือออกไปจนหมด
ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ชิ้นใดลงไป แม้แต่การขยับตำแหน่งของลำโพงเพียงเล็กน้อย ก็จะฟ้องการเปลี่ยนแปลงออกมาได้ชัดเจนมากกว่าที่คุ้นเคย จะเรียกว่ามันเป็นตัวมอนิเตอร์ที่ช่วยหาจุดอ่อนในระบบอีกทางหนึ่งก็ว่าได้เหมือนกัน ซึ่งเมื่อท่านเซ็ตระบบได้ลงตัวเมื่อไร คุณภาพของซิสเต็มก็จะทะยานยิ่งขึ้นไปอีกระดับทันที
![](http://whathifi.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2019/06/DSC_1418-1024x683.jpg)
เนื้อเสียงมีความกระชับและอิ่มแน่น ให้ความสงัดและสะอาดของพื้นเสียงสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการชีลด์ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ชะงัด หลังพ้นเบิร์นอินแล้วไม่มีความแข็งกระด้างของน้ำเสียงหลงเหลืออยู่เลย รักษาโทนบาล้านซ์ของเสียงได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะรับฟังกับดนตรีที่มีความสลับซับซ้อน หรือฟังในระดับความดังสูงมาก ๆ โทนเสียงก็ยังคงราบรื่น ไม่โด่งในย่านความถี่ใดความถี่หนึ่งออกมาจนเกินงาม ทำให้ฟังได้อย่างสบายหูราบรื่นและชวนให้หมุนโวลุ่มดังขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ
ให้ความใสเคลียร์ของชิ้นดนตรี ที่มาพร้อมกับโฟกัสของเสียงที่ชัดเจน ทำให้ช่องว่างช่องไฟมีความโปร่งโล่งเป็นอิสระมากขึ้นตามไปด้วย สายไฟเอซีเส้นนี้ช่วยให้อิมเมจและชิ้นดนตรีขึ้นรูปเป็นสามมิติชัดเจนและมีขนาดที่สมจริงมากกว่าเดิม เวทีเสียงเปิดและขยายใหญ่ขึ้น จนผู้เขียนต้องขยับตำแหน่งลำโพงใหม่ให้มีระยะห่างจากกัน รวมถึงห่างจากผนังด้านหลังเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อให้การวางตำแหน่งชิ้นดนตรีอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น อาณาเขตเวทีเสียงที่แผ่ขยายออกไปรอบด้านของลำโพงมีขอบเขตที่ชัดเจนดีเยี่ยมเลยทีเดียว
สรุป
LIFE AUDIO EXPERIENCE MK II เป็นสายไฟเอซีที่เน้นพละกำลังแฝงของเสียง แต่ในขณะเดียวกันก็รักษารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี มีความเป็นกลางค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมประสิทธิภาพด้านไดนามิก โดยไม่อยากให้โทนเสียงของซิสเต็มผิดเพี้ยนไป
ช่วงก่อนจะได้ทดสอบสาย ทราบว่าราคาจำหน่ายของสายสำเร็จอยู่ที่ 100,000 บาทต่อความยาวสองเมตร ก็ทำให้ผู้เขียนเกิดความชั่งใจเล็กน้อยถึงประสิทธิภาพของสายไฟเอซีเส้นนี้ แต่หลังจากที่ได้ทราบหลักการออกแบบและแนวคิดของการผลิตสายของ LIFE AUDIO ซึ่งอ้างอิงทั้งวิทยาศาสตร์และการฟังด้วยหู รวมถึงมาตรฐานขั้นการผลิตที่เรียกได้ว่าอยู่ในมาตรฐานระดับสากลแล้ว ก็ทำให้เข้าใจถึงความสมเหตุผลของราคาขายที่กล้าท้าชนกับสายแบรนด์เนมไฮเอ็นด์ต่างประเทศราคาแพงทั้งหลาย
ยิ่งเมื่อรวมกับผลการทดสอบที่ออกมา เทียบกับสายที่มีราคาสูงกว่าเกือบสองเท่า ก็ทำคะแนนได้อย่างน่าประทับใจ มีชั้นเชิงที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ทำให้มั่นใจว่าสายแบรนด์ไทยยี่ห้อนี้ มีดีไม่แพ้สายแบรนด์เนมต่างประเทศอย่างแน่นอน
อุปกรณ์ร่วมทดสอบ
- แหล่งโปรแกรม – PC + Roon, dCS Network Bridge, เครื่องเล่นซีดี Micromega Stage 2, Chord Electronics Mojo
- ภาคขยาย – อินทิเกรทแอมป์ Cambridge EDGE A, Parasound HINT 6, Bryston: B-60, เพาเวอร์แอมป์ NAD: 216THX
- ลำโพง – ลำโพงวางหิ้ง Totem Signature One, Canton Vento 836, KEF Q Compact
- สายเชื่อมต่อ – สายดิจิทัล USB Furutech: Formula 2, สายดิจิทัลโคแอ็คเชี่ยล QED: Qunex SR75, สายสัญญาณอนาล็อก Tchernov Special XS, สายสัญญาณอนาล็อก Taralabs: TL-101, สายไฟเอซี Shunyata: Python VX, Cardas: Crosslink 1s, Kimber: Powerkord, Audience AU 24 SX, สายลำโพง Furukawa FS-2T30F, PAD: Aqueous Aureus
- อุปกรณ์เสริม – ปลั๊กผนัง PS Audio: Power Port Premiere (Audiophile Grade), ปลั๊กกรองไฟ Clef: Power Bridge 8 (เปลี่ยนปลั๊กเป็น Wattgate 381), ตัวกรองไฟ X-filter, ตัวกรองน้อยส์ Audio Prism: Quite Line mkIII, ตัวกรองน้อยส์ Audio Quest: Jitter Bug, iFi Audio: iDefender 3.0, ผลึกควอตซ์ Acoustic Revive: QR-8, ตัวอุดปลั๊ก Isoclean, บานาน่าปลั๊ก Monster X-Terminator, ขาตั้งลำโพง Atacama: HMS 1, ชั้นวางเครื่องเสียง Audio Art