Test Report: Bluesound Pulse P300
All-in-one Wireless Streaming Music System
อนันต์ บวรชัยพร
บทเพลงเพราะๆ เล่นกับชุดเครื่องเสียงดีๆ เป็นความสุขที่นักเล่นทุกคนใฝ่หา แต่การเล่นในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก การได้เสียงดีถูกใจบางทีไม่จำเป็นจะต้องเล่นเครื่องเสียงแบบแยกชิ้นชุดใหญ่ก็ได้เสียงที่อิ่มเอม การมองหาอะไรที่สะดวกแบบครบเครื่องในเครื่องเดียว และมีขนาดตัวเครื่องเล็กกะทัดรัด จึงอาจเป็นคำตอบที่สะดวกและลงตัวกว่ามาก เพราะไม่ต้องพะวงทั้งการเชื่อมต่อสายสัญญาณต่างๆ และคอยเปลี่ยนแผ่นให้วุ่นวาย อีกทั้งสถานที่จัดวางบางคนก็อาจมีจำกัด
Bluesound รุ่นนี้อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ใครกำลังมองหาชุดเครื่องเสียงที่ให้คุณภาพเสียงดี ในขนาดตัวเครื่องเคลื่อนย้ายสะดวก เล่นเพลงได้หลากหลายรูปแบบผ่านสื่อดิจิตอล ซึ่งตัวที่ได้รับมาทดสอบนี้จะเป็นรุ่น Pulse P300
อุปกรณ์ภายในกล่อง
นับว่า Bluesound เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ให้ความพิถีพิถันใส่ใจรายละเอียดในเรื่องของการบรรจุหีบห่ออย่างมาก โดยเครื่องเล่น Bluesound Pulse P300 นั้นถูกห่อหุ้มด้วยถุงผ้าสีขาวอย่างดีเพื่อป้องกันริ้วรอย บรรจุมาภายในกล่องกระดาษสีดำ มีกรอบกระดาษแข็งอย่างหนารองด้านล่างและปิดด้านบนอีกสองชั้น ซึ่งดูแล้วสามารถช่วยรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีทีเดียว
ส่วนอุปกรณ์ที่มีมาให้นั้น จะมีสายไฟ AC สองเส้นคือสายไฟสำหรับแรงดันไฟ 120V, สายไฟสำหรับแรงดันไฟ 230V และสายแลน Ethernet อีกหนึ่งเส้น, คู่มือใช้งานเพื่อความปลอดภัยและคู่มือใช้งานแบบ Quick Setup Guide
คุณสมบัติและรูปลักษณ์โดยทั่วไป
Bluesound Pulse P300 เป็นเครื่องเล่นแบบ Wireless Streaming Music System สามารถเล่นเพลงจากสื่อดิจิตอลได้หลากหลายรูปแบบทั้งเล่นไฟล์เพลงจาก USB Flash Drive ที่รองรับได้หลายสกุลไฟล์เช่น MP3, AAC, WMA, OGG, WMA-L, FLAC, ALAC, WAV หรือ AIFF ที่ Sampling Rates คุณภาพสูงสุดถึง 192 kHz 24 bit , เล่นเพลงออนไลน์จากเครือข่ายผู้ให้บริการและรับฟังวิทยุบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ Internet Radio ได้นับหมื่นสถานีทั่วโลก
ตัวเครื่องเล่น Bluesound Pulse P300 ถูกออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกมาอย่างเรียบง่าย และมีความโค้งมนดูสบายตาไม่มีปุ่มกดใดๆ นูนหรือยื่นออกมาจากตัวเครื่อง ให้ความหรูหราด้วยแผงโลหะด้านบนที่เป็นแบบแผงยาวและถูกดัดโค้งไปจนสุดด้านหลังเครื่อง ตัวตู้เป็นพลาสติกมีเนื้อผิวมันวาวถูกฉีดขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว ไม่มีรอยต่อรอบตัวตู้ ส่วนแผงหน้ากากตู้เป็นแผ่นตระแกรงโลหะสีเงินมีรูพรุนขนาดเล็ก ถูกติดตั้งยึดไปกับตัวตู้แบบติดแน่นไม่สามารถถอดออกได้และด้านบนตระแกรงจะมีตัวอักษร ‘B’ สีเงินมันวาวแปะอยู่
ปุ่มสั่งงานด้านบนเป็นกระจกแบบปลายสัมผัส แตะสั่งงานได้สะดวก มีมาให้ 5 ปุ่มด้วยกันคือปุ่มเปิด-ปิดเสียงชั่วขณะที่อยู่ตรงส่วนกลาง, ปุ่มบน-ล่างสำหรับเพิ่ม-ลดระดับเสียงและปุ่มซ้าย-ขวาสำหรับเลือกแทร็คเพลงก่อนหน้าและเล่นแทร็คเพลงถัดไป นอกจากนี้ใต้ปุ่มสั่งงานยังมีร่องที่ทำไว้สำหรับใช้มือสอดเพื่อหิ้วตัวเครื่องเคลื่อนย้ายไปยังห้องหรือที่ต่างๆ ได้ตามต้องการอย่างสะดวก
ด้านหลังเครื่องมีช่องต่อสาย LAN, ช่องต่อ USB, ช่อง Optical In, Micro USB, ช่อง Service และช่องเสียบสายไฟ AC แบบสามขาที่รองรับระดับแรงดันไฟได้ตั้งแต่ 100-240V 50/60Hz ส่วนด้านใต้เครื่องจะมีแผ่นยางขนาดใหญ่และหนารองไว้ที่ส่วนกลางของเครื่อง ทำให้เวลาวาง ตัวเครื่องจะถูกยกลอยขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมยังมีรูเกลียวมาให้สองช่องเพื่อสำหรับการจัดวางยึดบนขาตั้งได้ด้วย
ทดสอบใช้งาน
Bluesound Pulse P300 เป็นเครื่องเล่นแบบ All-in-one ที่มาครบทั้งลำโพงและแอมป์ภาคขยาย ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง PSB และ NAD มาถ่ายทอดเทคโนยีไว้ภายใน โดยภาคแอมปลิไฟล์จาก NAD จะเป็นแบบ Bi-Amplified Direct-Digital Amplifier ที่มีขนาดกำลังขับรวม 80 วัตต์และมีค่าความเพี้ยนที่ต่ำมากเพียง 0.005% THD ส่วนลำโพงแบบ 2.1 แชนแนลจะเป็นการออกแบบตัวขับจาก PSB โดยจัดเรียงลำโพงสับวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้วติดตั้งไว้ด้านหน้าตรงกลางและลำโพงสเตอริโอซ้าย-ขวาจัดวางไว้บริเวณด้านบน มีท่อระบายเสียงเบสส์ที่ด้านล่างสองท่อจัดวางไว้ด้านซ้ายและขวา
การเชื่อมต่อใช้งานครั้งแรก อาจจะทำให้มือใหม่เกิดความสับสนและงงๆ เล็กน้อย แต่เมื่อมีการตั้งค่าต่างๆ ถูกต้องเรียบร้อยสมบูรณ์ดีแล้ว ในครั้งต่อๆ ไปก็สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายๆ สบายๆ หรือทางที่ดีโปรดศึกษาการใช้งานจากพนักงานหรือผู้เชี่ยวชาญของบริษัทฯ เพื่อแนะนำการตั้งค่าต่างๆ ให้ละเอียดถูกต้องและวิธีเล่นให้เรียบร้อยเสียก่อนก็จะทำให้เราเข้าใจวิธีการทำงานง่ายยิ่งขึ้น
เนื่องจาก Bluesound Pulse P300 มีปุ่มสั่งงานเพียงแค่ 5 ปุ่มเท่านั้นและไม่มีรีโมทคอนโทรลมาให้ การใช้งานจึงจำเป็นจะต้องสั่งผ่านตัวสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์แท็บเล็ต, iPad, iPhone ร่วมด้วย ซึ่งการทดสอบนี้ผมใช้อุปกรณ์สองตัวในการร่วมใช้งานคือสมาร์ทโฟน Samsung Note2 และ iPad Air2 โดยจะต้องเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ‘Bluesound’ ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรีทั้งระบบ Android จาก Play Store และระบบ iOS จาก App Store ลงมาติดตั้งในเครื่องก่อน (เฟิร์มแวร์ตอนที่ใช้ทดสอบล่าสุดคือ Android App: 1.18.1, iOS App: 1.18.0 / BluOS: 1.18.2) หน้าตาการสั่งงานบนหน้าจอของทั้งสองระบบจะคล้ายๆ กัน แต่บน iPad ซึ่งมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าจะมีคำสั่งให้เลือกกดใช้งานง่ายกว่าและการแสดงผลการเล่นก็จะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย นอกจากจะต้องสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์แล้ว การใช้งานครั้งแรกจะต้องเข้าไปตั้งค่าการเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi กับระบบเครือข่ายภายในบ้านด้วย โดยสามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Configure Player ในหมวด Player Control บนสมาร์ทโฟนหรือบน iPad หรือสามารถเข้าไปดูวิธีการตั้งค่าที่ http://setup.bluesound.com (มีคลิปวิดีโอสาธิตให้ชม) เมื่อตั้งค่าเสร็จเรียบร้อยและถูกต้อง เครื่องก็จะพร้อมให้เราสามารถใช้งานได้ทันทีในครั้งต่อไป
การทำงาน… ตั้งแต่เริ่มเสียบปลั๊กไฟ Bluesound Pulse P300 จะใช้เวลาในการเปิดเครื่องประมาณ 35-40 วินาที โดยสังเกตุได้จากไฟที่ปุ่มกดสั่งงานรูปลำโพง (ในขณะไม่ได้เชื่อมต่อสาย LAN) เริ่มจากไฟสีแดง และจะกระพริบแล้วเปลี่ยนเป็นไฟสีเขียวเมื่อพร้อมใช้งาน แต่ถ้าได้เชื่อมต่อสาย LAN ด้วยก็จะใช้ระยะเวลาในการเปิดเครื่องพอๆ กันแต่ไฟที่ปุ่มกดสั่งงานรูปลำโพง จะเริ่มจากไฟสีแดงและเปลี่ยนเป็นไฟสีชมพูกระพริบสักพักก็จะเปลี่ยนเป็นไฟสีฟ้าเมื่อพร้อมใช้งาน
การเล่นเพลงด้วยโหมด Streaming Services ในบางหมวดจะต้องเสียค่าบริการให้กับผู้ให้บริการด้วยมีทั้งแบบเป็นรายเดือนหรือเป็นรายปีแล้วแต่ผู้ให้บริการนั้นๆ กำหนด โดยในโหมดนี้จะประกอบด้วย
– Tuneln สามารถเลือกการเล่นได้หลายแบบเช่น Music เลือกฟังเพลงแนวย้อนยุค 60’s 70’s 80’s 90’s หรือ Alternative Rock, Children’s Music, Classical, Country เป็นต้น หรือจะเป็น Talk, Sports, Podcasts เลือกแบบ By Location หรือ By Language เพื่อเลือกประเทศหรือภาษาที่ต้องการได้ การฟังช่องวิทยุสถานีไทยบางช่องที่เป็นระบบ RDS ก็จะมีแสดงชื่อศิลปินและชื่อเพลงแจ้งให้ทราบในขณะนั้นด้วย
– Qobuz เลือกฟังเพลงจาก New Albums, Popular Albums, Recommended Albums
– Rdio เลือกฟังเพลงจาก New Albums, Popular Albums, Popular Songs, Popular Playlists
– Tidal เลือกฟังเพลงจาก New Albums, New Songs, Recommended Albums, Recommended Songs
โหมด Streaming Services จะต้องเล่นบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านทางสาย LAN การสั่งงานด้วยสมาร์ทโฟนหรือ iPad สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องไปสลับการเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi ให้เป็นของ Bluesound Pulse P300 แต่อย่างใด ในกรณีที่ไม่ได้เชื่อมต่อสาย LAN จะสามารถเล่นไฟล์เพลงผ่านช่อง USB ด้วยตัว Flash Drive แต่การสั่งงานด้วยสมาร์ทโฟนหรือ iPad จะต้องเข้าไปเลือกจับคู่กับเครื่อง Bluesound Pulse P300 ผ่านระบบ Wi-Fi ก่อน ซึ่งเครื่องที่ทดสอบจะเป็นชื่อ PULSE-1F60 เมื่อเชื่อมต่อแล้วก็จะสามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที
เพลงที่นำมาร่วมทดสอบก็จะเลือกที่คุ้นหูฟังบ่อยอย่างเช่นศิลปิน ‘Holly Cole Trio’ อัลบั้ม ‘Don’t Smoke In Bed’ ในแทร็ค ‘I Can See Clearly Now’, ‘The Tennessee Waltz’ อัลบั้ม ‘Sheffield Drive’ ศิลปิน ‘James Newton Howard’, ‘Moscow Philharmonic’ หรือในอัลบั้ม ‘Rhythm Basket’ ศิลปิน ‘Brent Lewis’ ในแทร็ค Row, Row, Row Your Boat หรือ ‘Clair Marlo’ อัลบั้ม ‘Let It Go’ ในแทร็ค ‘Til They Take My Heart Away, Let it Go, It’s Just The Motion, แผ่นอัลบั้มเพลงรวมนักร้องหญิงเสียงดี ‘A Woman’s Heart’ ในแทร็ค Only A Woman’s Heart, Vanities, I Hear You Breathing In รวมทั้งศิลปินไทยอีกหลากหลายอัลบั้ม ซึ่งเพลงทั้งหมดผมทำการ Rip เองด้วยโปรแกรม iTunes โดยแปลงให้เป็นรูปแบบไฟล์ MP3 เลือกที่ระดับบิตเรตสูงสุด 320kbps และยังมีบางอัลบั้มทำผ่านโปรแกรม Format Factory Ver.2.50 สำหรับการแปลงให้เป็นรูปแบบไฟล์ FLAC เพื่อคุณภาพเสียงที่ดีเทียบเคียงใกล้กับต้นฉบับที่สุด
เสียงแหลม : มีรายละเอียดดี สดใส ปลายเสียงทอดเสียงได้พอประมาณ
เสียงกลาง : เสียงโปร่ง เปิดกว้าง เนื้อเสียงหนา นุ่มนวลฟังสบาย
เสียงเบสส์ : ปริมาณของเสียงเบสส์ใหญ่เกินตัว หนักแน่น นุ่มลึก มีแรงประทะดีมากๆ
มิติเสียง : ความชัดลึกของเวทีเสียงไม่ใช่จุดเด่น แต่สามารถให้เวทีเสียงกว้าง กระจายเสียงแผ่ออกไปด้านข้างและครอบคลุมโอบล้อมได้ดี
สรุป
Bluesound Pulse P300 เป็นชุดเครื่องเสียงที่มีความพร้อมสรรพทั้งเสียงที่มีคุณภาพดุจชุดสเตอริโอขนาดใหญ่ มีรูปลักษณ์ที่สวยงามดูทันสมัยและตัวเครื่องมีขนาดเล็กจัดวางสะดวกในทุกพื้นที่ภายในบ้าน นอกจากนี้ Bluesound Pulse P300 ยังมาพร้อมช่องต่อ input แบบ Optical เพื่อให้เอาไว้ใช้งานต่อเสียงจาก TV เพื่อเปลี่ยนสถานะให้เป็นลำโพงแบบ Sound Bar ได้อีกด้วย
แต่การเปลี่ยนช่องสัญญาณไปช่องอินพุท Optical พบว่าในบางครั้งอาจกินเวลาพอสมควรหรือช้าไปหน่อย คาดว่าน่าจะเป็นทางด้านซอฟท์แวร์ ซึ่งถ้าในอนาคตมีการปรับปรุงเฟิร์มแวร์ใหม่ก็น่าจะทำให้การทำงานมีความรวดเร็วและตอบสนองดียิ่งขึ้น เพราะตอนที่ได้รับเครื่องมาใหม่ๆ ผมยังไม่ได้อัพเฟิร์มแวร์ให้เป็นปัจจุบัน การทำงานรวมถึงหน้าจอสั่งงานยังมีฟังก์ชันไม่ครบเหมือนตอนอัพเฟิร์มแวร์ล่าสุดครับ
– รูปลักษณ์ : 5 ดาว
– สมรรถนะ : 4 ดาวครึ่ง
– คุณภาพเสียง : 4 ดาวครึ่ง
– คะแนนโดยรวม : 4 ดาวครึ่ง
ตัวแทนจำหน่าย : บริษัท โคไน้ซ์ อีเล็คโทรนิค จำกัด โทร.0-2276-9644, 0-2251-1865
Homepage : www.conice.co.th
ราคา 34,200 บาท
คุณสมบัติที่สำคัญ
– รองรับไฟล์เสียง : MP3, AAC, WMA, OGG, WMA-L, FLAC, ALAC, WAV, AIFF
– Native Sampling Rates : 32, 44.1, 48, 88.2, 96, 176.4, 192 kHz
– Bit Depths : 16, 24
– Album Art : JPG
– Supported Cloud Services : WiMP, Rdio, Slacker Radio, Qobuz, HighResAudio, JUKE, Deezer, Murfie, HDTracks, Spotify, TIDAL.
– Bi-amplified Direct-Digital Amplifier by NAD Electronics : 80 watts total power, 0.005% THD
– Distortion : – 0.005%
– Acoustic Frequency Response : 45 Hz – 20 KHz
– Free Internet Radio : TuneIn Radio
– Network : Ethernet RJ45, 802.11n WiFi
– USB Device : Type-B mini port for product servicing
– TOSLINK digital optical input, trigger output
– USB Host : Type-A port for connection to USB memory sticks and supported peripherals
– Universal tri-pin AC cord : input 120 – 240VAC
– Android Free App Available Online at Google Play Store
– iOS Free App Available Online at Apple App Store
– ปุ่มสั่งงาน : Top-panel mute button with integrated tri-color status LED
– อัตรากินไฟ : 14 วัตต์
– ขนาดตัวเครื่อง : 420 x 190 x 197 มิลลิเมตร
– น้ำหนักเครื่อง 6.1 กิโลกรัม