“สัมภาษณ์ Jake Tai และ Steve Silberman จาก AudioQuest”
by Khanit Pavasutthiphand
…ไม่นานวันนัก หลังจากทาง “ปิยะนัส กรุ๊ป” ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ AudioQuest อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทาง AudioQuest ก็ได้ส่งตัวแทนบริษัทฯ มาเยี่ยมเยือน “ปิยะนัส กรุ๊ป” เมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทาง “ปิยะนัส กรุ๊ป” โดยคุณชัยวัฒน์ จงพัฒนากิจเรือง และภรรยาได้กรุณาเชิญทีมงาน What Hi-Fi? ไปร่วมทานอาหารและสัมภาษณ์พูดคุยกับตัวแทน 2 ท่านจากบริษัท AudioQuest ได้แก่ คุณ Steve Silberman และคุณ Jake Tai ณ ร้านอาหารช้อนเงินช้อนทอง ละแวกคลองประปา ถนนพระราม 6 จึงขอขอบคุณ“ปิยะนัส กรุ๊ป” มา ณ โอกาสนี้ครับ
บริษัท AudioQuest นั้นเป็นบริษัทที่ผลิตสายสัญญาณอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียวเริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1980 โดยคุณ Bill E. Low เป็นผู้ก่อตั้ง และด้วยปรัชญาที่แน่วแน่จึงทำให้ AudioQuest นั้นมายืนอยู่ตรงจุดๆ นี้ การพูดคุยกันวันนั้นเป็นการพูดคุยกันถึงเรื่องปรัชญา, ผลิตภัณฑ์ และแผนการตลาดของ AudioQuest ในตลาดเครื่องเสียงบ้านเรา และที่สำคัญเรายังได้รับรู้ข้อมูลอย่างลึกซึ้งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ของ AudioQuest จากคุณ Steve นักวิศวกรออกแบบที่เป็นหนึ่งในผู้ออกแบบ Dragonfly อีกด้วยครับ
What Hi-fi? : ทราบมาว่าคุณ Steve เป็นหนึ่งในคนออกแบบ Dragonfly เล่าให้เราฟังถึงขั้นตอนการออกแบบหน่อยครับ
AudioQuest : ถ้าคุณลองดูปรัชญาการออกแบบของ Dragonfly มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปรัชญาของการสร้าง DAC ระดับราคา 15,000 หรือ 20,000 ดอลล่าร์ เพียงแต่ว่าอุปกรณ์และคุณภาพนั้นก็ย่อมแตกต่างไปตามราคา พวกเราเน้นเรื่องปรัชญาในการสร้าง DAC เป็นอย่างมาก
Asynchronous USB เป็นงานชิ้นแรกที่ผมได้ทำ ต่อมาก็คือ Dragonfly ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่สองที่ผมได้ทำในหมวดของคอมพิวเตอร์ ออดิโอ ก่อนที่ผมจะมาทำงานกับ AudioQuest ผมอยู่กับ Ayre Acoustics มาก่อน พวกเราได้ผลิต QB9 ออกมา ซึ่ง Dragonfly ก็คือ USB DAC อันแรกๆ ของโลก ในเวลานั้นมีแค่สองบริษัทที่จำหน่าย Asynchronous USB DAC ซึ่งก็คือ Gordon Rankin และ Ayre Acoustics นั้นเป็นการทำให้ผมได้เจอกับคุณ Gordon เราได้ซื้อเทคโนโลยีตัวนี้มาจาก Gordon เพื่อที่จะผลิต DAC ตัว micro controller กับ USB receiver chip ที่อยู่ใน Dragonfly นั้นเป็นตัวเดียวกับที่พบในภาคออดิโอของ Ayre Acoustics QB9 ซึ่งถ้าพูดถึงตอนที่เราสร้าง Dragonfly นั้นมันไม่มี chip ตัวไหนที่มีคุณภาพเท่าตัวนี้แล้วแต่ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าพูดกันจริงมันก็ยังถือว่าเป็น chip ที่ดีที่สุดที่คุณสามารถจะใช้ได้
อีกความคิดหนึ่งที่เราโฟกัสนั้นก็คือ เราจะย้าย data ออกจาก buffer ยังไง audio data นั้นเดินทางจากคอมพิวเตอร์ไปยัง task 1020 และจากนั้นก็ buffer ไปยัง DAC พวกเราคิดว่ามันจะต้องเป็น I Square S (I2S) ไม่มีไฟล์ S/PDIF ซึ่งดีไซน์เนอร์ส่วนใหญ่ชอบที่จะใช้ S/PDIF บน output แต่ปัญหาก็คือมันจะทำให้เกิด jitter ซึ่งเราไม่มีทางที่จะกำจัด jitter ได้เวลาที่คุณพยายามที่จะรวมนาฬิกา 2 เรือนเข้าด้วยกัน I2S สามารถที่จะให้ jitter ต่ำที่สุดในการเชื่อมต่อระหว่าง buffer กับ DAC และนั้นคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ซึ่ง DAC ในระดับราคา 15,000 หรือ 20,000 ดอลล่าร์ ก็เป็น I2S, asynchronous เหมือนกัน พวกเราใช้ discreet clock จาก sampling ที่แตกต่างกัน นาฬิกาตัวแรกที่ 44.1 kHz (ada 2) และ ตัวที่สองที่ 48.96 kHz แต่พวกเราก็ยังไม่หยุดที่ตรงนั้น พวกเราใช้แยกตัวจ่ายไฟ (power supply) ของนาฬิกาแต่ละตัว ทว่าหลายต่อหลายคนก็ใช้ discreet clock แต่แชร์ตัวจ่ายไฟ ซึ่งมันจะทำให้เกิดปัญหาเพราะเวลาที่เราแชร์ไฟนั้นมันจะทำให้เกิด distortion จากนาฬิกาอีกตัวหนึ่งขณะทำงาน คุณจะเห็นว่าดีไซน์เนอร์ที่สร้าง DAC ในราคา 5,000 หรือ 6,000 ดอลล่าร์ นั้นมักจะไม่สนใจในจุดนี้ แต่ไม่ใช่พวกเรา
ดังนั้นถ้าเรามองจากสูตรพื้นฐานในการผลิต Dragonfly ของเรานั้น ไม่ว่าคุณจะสร้าง DAC ระดับห้าดาวราคาสูงลิ่วเราก็ยังจะคงความคิดของเราไว้ เพราะเราใช้ปรัชญานี้ในการผลิต DAC ในทุกระดับราคาไม่ใช่เพียงแต่ DAC แต่เป็นกับสายเคเบิ้ลของ AudioQuest ด้วยทั้งหมด
What Hi-fi? : งานโชว์เครื่องเสียง Hong Kong Show ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างครับ ทาง AudioQuest ได้นำผลิตภัณฑ์หรือ เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ มาโชว์บ้างครับ
AudioQuest : งานโชว์นั้นดีมากๆ เลยครับ คนเยอะมาก, ห้องฟังก็ดี ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่นั้น AudioQuest ได้นำตัว interconnect ตัวใหม่ในรูปแบบอะนาลอก จากการพูดคุยกับ distributor ที่ฮ่องกงทำให้เราทราบว่า internet นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก distributor ของ AudioQuest ที่ฮ่องกงนั้นมีธุรกิจเกี่ยวกับ streaming dac server ที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียวดังนั้นพวกเข้าก็ต้องมองหาสายอินเตอร์เน็ตเคเบิ้ลที่มีคุณภาพสูงเพื่อที่จะตอบสนองการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
What hifi? : อะไรคือสิ่งสำคัญที่นำพาทีม AudioQuest มาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้
AudioQuest : จริงๆ แล้วเรามาเพื่อที่จะให้ความรู้เป็นส่วนใหญ่ครับ และ อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรามี distributor ใหม่ในประเทศไทย พวกเรามาเมืองไทยเพราะเราต้องการที่จะให้ความรู้ distributor ของพวกเราในแง่ของสินค้าตัวใหม่ๆ และก็เพื่อที่จะได้ถกถึงแผนงานในอนาคตด้วย ดูว่าตลาดเมืองไทยเป็นยังไง นี่ก็รวมถึงการพบปะกับลูกค้าของ AudioQuest แล้ว นิตยสารต่างๆ เพื่อเป็นการแจ้งว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่
What Hifi? : แล้วทาง AudioQuest คิดยังไงกับตลาดเครื่องเสียงเมืองไทยครับ หลังจากที่ประเทศเราได้เจอกับสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ค่อยนิ่งเท่าที่ควร
AudioQuest : เป็นที่น่าแปลกใจมากที่เหตุบ้านการเมืองที่ไม่นิ่งนั้นไม่ได้มีผลกระทบกับตลาดเครื่องเสียงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ AudioQuest ที่มีตลาดที่สดใสเลยก็ว่าได้ เนื่องจากการได้รับผลตอบรับและการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ากลุ่มใหม่และก็เติบโตขึ้นในทิศทางที่ดีเรื่อยๆ สินค้าของ AudioQuest ที่มีอยู่ในตลาดนั้นยังขายได้ดีมากและสินค้าตัวใหม่ๆ ก็กำลังทยอยออกมาอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นเราจึงมองว่าเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบนิ่งนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับคนในประเทศเลย ทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตอย่างปรกติ
What Hi-fi? : ปรัชญาของ AudioQuest เป็นอย่างไรครับ
AudioQuest : หลักการหลักของพวกเราก็คือ “การไม่ก่อให้เกิดความบิดเบือนต่อสัญญาณ” พวกเราไม่เคยบอกว่าสายของ AudioQuest นั้นจะทำให้ชุดเครื่องเสียงของคุณขับเสียงได้ออกมาไพเราะขึ้น จริงๆ แล้วสายเคเบิ้ลนั้นเป็นตัวบิดเบือนสัญญาณ แต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่สายของ AudioQuest มีผลกระทบน้อยมากต่อสัญญาณเสียงที่ออกมาจากระบบเครื่องเสียงของคุณ ดังนั้นปรัชญาของเราจึงค่อนข้างไม่เหมือนคนอื่น มันคือการควบคุมการผิดเพี้ยนหรือการบิดเบือนของสัญญาณให้น้อยที่สุด
What Hi-fi? : จากบทสัมภาษณ์ของคุณ Andrew Kissinger ที่ได้กล่าวไว้ว่า สายของ AudioQuest นั้นไม่ได้ช่วยทำให้ชุดเครื่องเสียงนั้นขับเสียงออกมาอย่างมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นแต่ สายของ AudioQuest จะทำให้ชุดเครื่องเสียงนั้นขับเสียงที่มันสมควรจะขับออกมาในทีแรก แล้วคุณผลิตมันยังไง
AudioQuest : พวกเราไม่เคยปิดขั้นตอนการผลิตของพวกเรา สิ่งที่เราทำนั้นค่อนข้างชัดเจนและตรงไปตรงมา ตัวอย่างเช่นถ้าเราพูดถึง Solid Core หรือ สายตัวนำแบบแกนเดี่ยวนั้นนำมาซึ่งเสียงที่มีคุณภาพมากกว่า สายฝอยตีเกลียว bundle เพราะว่าสายฝอยตีเกลียวนั้นจะทำให้มีโอกาสสูงในการบิดเบือนของเสียงเนื่องจาก แต่ละสายในสายตีเกลียวนั้นมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่เวลาที่เราเอาสายพวกนี้มา bundle ก็จะทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านั้นมารบกวนกันหรือที่เรียกกันว่า strand interaction และที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือเทคนิคการจัดวางสายตัวนำหรือ geometry ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพเสียงที่ถ่ายทอดออกมา รูปแบบการจัดวางสายตัวนำของ USB นั้นจะมี geometry ที่แตกต่างจากสายลำโพง และก็แตกต่างจาก interconnect อนาลอกด้วยเช่นกัน
เทคนิคการจัดวางสายตัวนำทุกขั้นตอนของแต่ละชนิดสายนั้นต้องคอยระมัดระวัง หลังจากสองสิ่งนี้แล้ว (Solid Core และ Geometry) ก็มีคุณภาพของชนิดโลหะ ความบริสุทธิ์ของโลหะและการขั้นตอนการผลิตโลหะนั้นมีผลกระทบต่อคุณภาพเสียงหมดบางคนมองข้ามรายละเอียดพวกนี้ แต่จริงๆ แล้วมันสำคัญมากและสุดท้ายก็คือ การประกอบทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ
What Hi-fi? : มีความแตกต่างอย่างไรกับการประกอบสาย 2 แบบระหว่างสายอะนาลอก หรือสายดิจิตอล
AudioQuest : ในสายแบบระบบดิจิตอลนั้น เทคนิคการจัดวางสายตัวนำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สายนั้นไม่ว่าจะเป็น 90 Ohm, 75 Ohm, หรือ 110 Ohm นั้น ไม่สามารถที่จะจัดให้วางขนานกันได้ ดังนั้นในระบบดิจิตอลพวกเราจึงไม่จำเป็นต้องใช้ high performance installation เราใช้เทคนิคการประกอบที่ให้การบาลานซ์ที่ดีที่สุดระหว่างสมรรถนะ กับการรวมเป็นหนึ่ง ในขณะที่สายแบบอะนาลอกเราสามารถใช้ installation ที่ง่ายลงมาหน่อยเช่น FVP เราใช้ FVP installation กับสาย interconnect แบบอะนาลอกเรายังสามารถทำแบบนี้ได้กับสายดิจิตอล พวกเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการประกอบของสายลำโพง เช่นถ้าคุณลองดูสายลำโพงของเรานั้น สีแดงเป็นขั้วบวก และสีดำเป็นขั้วลบ ในส่วนของขั้วลบนั้นมีคาร์บอน (Carbon) ผสมอยู่ซึ่งช่วยลดเสียงรบกวนทางคลื่นวิทยุ (RF) จากการกลับจากสายลำโพงเพราะว่าเราสามารถใช้วัสดุที่จะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและเปลี่ยนให้เป็นความร้อนและกลับสู่แอมปลิไฟเออร์
What Hi-Fi? : AudioQuest นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากเป็นเวลาอย่างยาวนาน อะไรที่ทำให้ AudioQuest มายืนอยู่ที่จุดนี้
AudioQuest : ความสม่ำเสมอ พวกเราพูดถึงคอนเซปต์-ปรัชญาในวันนี้ ก็เป็นคอนเซปต์และปรัชญาที่พวกเราพูดในปี 1980 พวกเราค่อยที่จะปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้ปรัชญาที่เราได้ตั้งไว้ อาจจะมีความผิดพลาดบ้างครับแต่น้อยมาก ทุกบริษัทเกิดการผิดพลาดได้ทั้งนั้นแต่พวกเราพยายามที่จะทำให้มันเกิดน้อยที่สุด
What Hi-Fi? : แล้ว AudioQuest มีแผนงานทางการตลาดยังไงบ้างกับทาง ‘ปิยะนัส กรุ๊ป’
AudioQuest : พวกเราได้หารือกับทางทีมงานปิยะนัสเป็นเวลาพอสมควรครับถึงช่องทางในการส่งความรู้, ข้อความข่าวสารไปสู่กลุ่มลูกค้า Facebook เป็นสิ่งใหม่มากสำหรับพวกเราเพราะว่าแฟนเพจของ AudioQuest ในเมืองไทยนั้นเยอะมากครับ เยอะกว่าแฟนเพจของ AudioQuest ที่พวกเราทำกันจริงๆ ซะอีกและที่สำคัญมันก็กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ เราพยายามที่จะให้ความรู้แก่กลุ่มลูกค้าไม่ใช่มาฝึกลูกค้า “เราฝึกสุนัขแต่เราให้ความรู้คนครับ” พวกเราเต็มใจให้ความรู้แก่คนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นคนเพิ่งหัดเล่น, เก่งจนระดับกูรู, รวยหรือจนด้วยความเคารพ ในส่วนขององค์กรของพวกเรานั้นเราพร้อมที่จะให้ความสะดวกสบายแก่ distributor ของพวกเราไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรูปแบบโฆษณา, กราฟฟิก ฯลฯ เรามีทีมกราฟฟิกที่พร้อมจะตอบสนองทุกอย่างที่ distributor นั้นต้องการ
What Hi-Fi? : สินค้าชิ้นไหนเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของ AudioQuest ครับ
AudioQuest : HDMI เป็นสินค้าที่ขายดีมากครับ เป็นส่วนที่ใหญ่มากของ AudioQuest เพราะว่ามันเป็นทั้ง Audio และ Video มันมาแทนที่ S-Video, composite, component และ สาย interconnect ในรูปแบบอะนาลอก ถ้าเรามองถึงชุดโฮมเธียเตอร์นั้น คุณต้องการ HDMI, Power, Speaker cable และแค่ในเมืองไทยนั้นเราขายสาย Wel Signature Speaker ได้เยอะมากๆ เป็นสินค้าระดับ Hi-End ที่เป็นที่นิยมมาก
What Hi-fi? : มีสินค้าอะไรใหม่ที่กำลังจะออกมาครับ
AudioQuest : ไม่มีครับเราไม่ทำแล้ว …ล้อเล่นครับ พวกเรากำลังที่จะวางจำหน่ายสาย interconnect แบบอะนาลอกทั้ง 4 รุ่นได้แก่ Water, Earth, Wind และ Fire ครับ และก็กำลังเร่งพัฒนา Dragonfly ตัวใหม่อยู่ครับ เพราะว่า Dragonfly นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและก็ยังขายได้เรื่อยๆ ถ้าเรามองถึงเทคโนโลยีที่กำลงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง แทบทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบเครือข่ายทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น A/V Receiver, TV Set-Top Box หรือ Streamer ทุกอย่างจะเป็นระบบเครือข่ายบนอินเตอร์เน็ตทั้ง Audio และ Video
ดังนั้นสายจึงจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะรองรับทั้ง Audio, Video และ ระบบสื่อสารด้วย ดังนั้นในอนาคตภายในปีหรือสองปีข้างหน้านี้ บริษัท broadcasting พยายามที่จะไม่ซื้อหรือให้ set top box เนื่องจากมันมีราคาสูงและก็ไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือ อีกหน่อยคุณสามารถต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโทรทัศน์เข้าสู่ระบบของบริษัท broadcasting และก็สามารถเข้าชมรายการมากกว่า 50,000 ช่อง คิดถึงความรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือระบบ Music Streamer ทุกๆ อย่างจะเป็น TCP/IP* และมันจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในอนาคต
What Hi-fi? : ขอบคุณมากครับ
AudioQuest : ยินดีครับ
หมายเหตุ : TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นระบบโปรโตคอล การสื่อสารพื้นฐานของระบบอินเตอร์เน็ต มันสามารถใช้เป็น โปรโตคอลในการสื่อสารภายใน เครือข่ายส่วนบุคคล เรียกว่า intranet และ extranet เมื่อมีการติดต่อโดยตรงกับ internet เครื่องคอมพิวเตอร์จะได้รับการคัดลอกโปรแกรม TCP/IP เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์อื่นๆ เพื่อทำให้ส่งข้อความขอรับสารสนเทศ
TCP/IP เป็นโปรแกรม 2 เลเยอร์ TCP (Transmission Control Protocol) เป็นเลเยอร์ที่สูงกว่า ทำหน้าที่จัดการแยกข้อความหรือไฟล์และประกอบให้เหมือนเดิม IP (Internet Protocol) เป็นเลเยอร์ที่ต่ำกว่า ทำหน้าที่จัดการส่วนของที่อยู่ของแต่ละชุดข้อมูล เพื่อทำให้มีปลายทางที่ถูกต้อง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น Gateway บนเครือข่ายจะตรวจที่อยู่นี้เพื่อหาจุดหมายในการส่งข้อความ ชุดข้อมูลอาจจะใช้เส้นทางไปยังปลายทางต่างกัน แต่ทั้งหมดจะได้รับการประกอบใหม่ที่ปลายทาง
TCP/IP ใช้ในแบบ client/server ในการสื่อสาร (ระหว่างคอมพิวเตอร์) ซึ่งผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (client) เป็นผู้ขอและการบริการได้รับจากคอมพิวเตอร์เครื่องแม่ข่ายในระบบเครือข่าย การสื่อสารของ TCP/IP เป็นแบบจุดต่อจุด (point -to- point) หมายความว่าการสื่อสารแต่ละครั้งเกิดจากจุดหนึ่ง (เครื่อง host เครื่องหนึ่ง) ไปยังจุดอื่นหรือเครื่อง host เครื่องอื่นในเครือข่าย TCP/IP และโปรแกรมประยุกต์ระดับสูงอื่น ที่ใช้ TCP/IP สามารถเรียกว่า Stateless เพราะการขอแต่ละ client ได้รับการพิจารณาเป็นการขอใหม่โดยไม่สัมพันธ์กับการขอเดิม (แต่แตกต่างจากการสนทนาทางโทรศัพท์) การที่เป็นพาร์ทของเครือข่ายอิสระแบบ Stateless ดังนั้นทุกคนสามารถใช้พาร์ทได้อย่างต่อเนื่อง (หมายเหตุ เลเยอร์ของ TCP จะไม่ Stateless ถ้ายังทำการส่งข้อความใดข้อความหนึ่ง จะทำการส่งจนกระทั่งชุดข้อมูลนั้นได้รับครบชุด)
ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต จำนวนมากคุ้นเคยกับการประยุกต์เลเยอร์ระดับสูง โดยใช้ TCP/IP เพื่อเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้รวมถึง World Wide Web’s Hypertext Transfer Protocol (HTTP), File Transfer Protocol (FTP) ซึ่งในการเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ในระยะไกล และ Simple Mail Transfer Protocol (SMTP) Protocol เหล่านี้ จะเป็นชุดเดียวกับ TCP/IP ในลักษณะ Suite เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มักจะเข้าสู่อินเตอร์เน็ต ผ่าน Serial Line Internet Protocol (SLIP) หรือ Point-To-Point Protocol (PPP) โปรโตคอล แบบนี้จะควบคุมชุดข้อมูลของ IP ดังนั้น จึงสามารถใช้ส่งผ่านการติดต่อด้วยสายโทรศัพท์ ผ่านโมเด็ม Protocol ที่สัมพันธ์กับ TCP/IP ได้แก่ User Datagram Protocol (UDP) สำหรับใช้แทน TCP/IP ในกรณีพิเศษ ส่วนโปรโตคอลอื่นที่ใช้โดยเครื่อง host ของเครือข่ายสำหรับการแลกเปลี่ยนสารสนเทศกับ router ได้แก่ Internet Control Message Protocol (ICMP) Interior Gateway Protocol (IGP) Exterior Gateway Protocol (EGP) และ Border Gateway Protocol (BGP)