ฐานิสร์ มหาคุณ
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/Canton_Reference9K_Aufm.jpg)
“เที่ยงตรง กระชับ และเสียงเบสระดับเจาะลึกทุกรายละเอียด”
หากนับไปสัก10กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นวงการเครื่องเสียงบ้านเรายังไม่เติบโตเหมือนทุกวันนี้ ยี่ห้อเครื่องเสียงหรือลำโพงต่างๆในบ้านเรา อาจจะยังมีไม่มากมายเหมือนตอนนี้ ลำโพงที่บ้านเราเล่นกันในตอนนั้นก็จะมีมาจาก3ประเทศใหญ่ๆ คือ อเมริกา อังกฤษ และเยอรมัน Canton คือผู้ผลิตลำโพงรายนึงจากเยอรมัน ที่บ้านเรารู้จักกันดี ว่าเป็นผู้ผลิตลำโพงยี่ห้อหนึ่ง ที่ผลิตลำโพงออกมาได้ดี มีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์เยอรมันแท้ๆ ในบ้านเรา Canton ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องพร้อมๆ กับยี่ห้อ Elac ที่มาจากเยอรมันเหมือนกัน
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/1366_2000-1024x545-1.jpg)
แต่มาพักหลังรู้สึกว่า Canton จะเงียบหายไปวงการเครื่องเสียงบ้านเราสักพักหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะการทำตลาดที่ไม่ต่อเนื่อง แต่มาวันนี้ Canton ได้เปลี่ยนตัวแทนนำเข้าใหม่ ให้นักเล่นบ้านเราได้สัมผัสกับเสียงสไตล์เยอรมันแท้ๆ กันอีกครั้ง นักเล่นหน้าใหม่หรือใครที่ยังไม่เคยฟังน้ำเสียงของ Canton ก็ขอให้ไว้ใจในชื่อนี้ได้ เพราะ Canton ดำเนินกิจการมากว่า40ปีแล้ว และตลอดช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมาก็ได้มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ และได้รับรางวัลจากสินค้ารุ่นต่างๆ มากมาย
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/000973.jpg)
ลำโพงที่ผมได้รับมาทำการทดสอบนี้มีชื่อรุ่นว่า Reference 9 K แค่ได้ยินคำว่า Reference ก็พอเดาได้เลยว่าลำโพงคู่นี้คงไม่ธรรมดา ซี่รี่ Reference นี้เป็นซี่รี่สูงสุดของ Canton เป็นซี่รี่ที่ Canton ใส่เทคโนโลยีและความรู้ของตัวเองมาหมด เรียกได้ว่า Canton จัดเต็มกันเลยทีเดียว จึงทำให้ Reference 9 K เป็นลำโพงวางขาตั้งรุ่นที่ดีที่สุดของ Canton มีการใส่ใจทุกรายละเอียดในการผลิต
ลำโพงวางขาตั้งโดยทั่วไปจะบรรจุ 1 คู่ในกล่องเดียวกัน แต่ Reference 9 K นี้มาแยกกันกล่องละข้างเลย แล้วก็จะมีใบ serial number มาให้ว่าลำโพง 2 กล่องนี้เป็น serial number ต่อกัน เพื่อให้เราแน่ใจได้ว่าลำโพง 2ข้างที่เราได้มานั้นผลิตขึ้นพร้อมๆกัน น้ำเสียงที่ได้จะได้ไม่ผิดแปลกไปจากกัน ในกล่องมีผ้าไมโครไฟเบอร์อย่างดีมาให้ เพื่อเช็ดลำโพง ตรงข้างกล่องก็จะมีคำว่า High End Loudspeaker และ Made in Germany อย่างชัดเจน
การออกแบบและเสปค
ลำโพงที่ผมได้มาเป็นของใหม่แกะกล่อง เมื่อเปิดฝากล่องออกมาผมได้กลิ่นของการทำสีและเคลือบเงาอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าผมแปลกรึเปล่า ผมมีความรู้สึกกลับชอบกลิ่นพวกนี้ อยากให้มันอยู่ไปนานๆ เพราะได้กลิ่นแล้วรู้สึกว่าลำโพงเหมือนใหม่อยู่ตลอดดีครับ
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/170515172308_canton.jpg)
เจ้า Reference 9 K ที่ได้มาเป็นสีดำเงาแบบเปียนโน ผู้ผลิตมีให้เลือก 3 สี คือ ดำ ขาว และ เชอร์รี่ ทุกสีเคลือบเงาแบบเปียนโนทั้งสิ้น การทำสีและเคลือบเงามีคุณภาพดีมาก คือตัวสีดูเงาและหนา ดูสวยกว่าลำโพงสีดำเปียนโนยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด
ผมได้ออกแรงอุ้มเจ้า Reference 9 K ขึ้นมาจากกล่อง (ต้องใช้คำว่าออกแรงเพราะตัวลำโพงมีน้ำหนักค่อนข้างมาก) ผมต้องตกตะลึงกับขนาดของเจ้า Reference 9 K อยู่สักครู่หนึ่ง ตอนแรกก็เอะใจอยู่แล้วว่าทำไมกล่องมันใหญ่นัก ตัวจริงของมันก็ใหญ่เอาเรื่องเลยที่เดียว
เจ้า Reference 9 K มีขนาดอยู่ที่กว้าง 24 ซ.ม สูง 40 ซ.ม ลึก 38 ซ.ม ตามขนาดของมันอาจจะดูเป็นลำโพงวางขาตั้งที่ใหญ่ แต่ก็เป็นลำโพงที่ดูไม่ใหญ่เทอะทะ เพราะส่วนสูงและลึกของมันที่มากอยู่สักหน่อย ทำให้ตู้ดูผอมเพรียว และผนังตู้ด้านข้างที่โค้งและแคบไปด้านหลัง ยิ่งทำให้เจ้า Reference 9 K ดูมีทรวดทรงที่สวยงามยิ่งขึ้น การออกแบบของมันเป็นแบบ 2 ทาง 2 ไดร์เวอร์ มีทวิตเตอร์แบบโดม ขนาด 25 มม. ที่ใช้วัสดุแบบ อลูมิเนียม เซรามิก และวูฟเฟอร์ขนาด 7 นิ้ว ที่ใช้วัสดุทำกรวยวูฟเฟอร์แบบ เซรามิค ทังสเตน และมีขอบเซอร์ราวด์แบบ wave surround ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Canton เอง ซึ่งลำโพงปกติทั่วไป ขอบของวูฟเฟอร์ก็จะเป็นยางโค้ง 1 ลอน แต่ wave surround ของ canton จะเป็น 2 ลอน ดูแล้วเหมือนลูกคลื่นตามชื่อของมัน
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/reference_k_hochton.jpg)
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/reference_k_tiefton.jpg)
วัสดุที่นำมาใช้ และการออกแบบไดร์เวอร์ ทาง Canton ได้บอกเอาไว้ว่าจะช่วยให้ไดร์เวอร์มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง ตอบสนองความถี่ได้รวดเร็ว เที่ยงตรง และไม่ผิดเพี้ยนในความดังสูงๆ
ส่วนการออกแบบของตัวตู้ก็เน้นเรื่องความแข็งแกร่ง ผมได้ส่องมองเข้าไปที่ท่อเบสด้านหลัง พบว่าไม้ที่นำมาทำผนังตู้มีความหนาพอสมควร ส่วนผนังข้างของตัวตู้ที่โค้งแคบไปทางด้านหลัง ก็ไม่ได้แค่ให้ความสวยงาม แต่ยังช่วยลดเรโซแนนซ์ และเสียงสะท้อนต่างๆที่เกิดภายในตู้ได้อย่างดี
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/reference_k_frequenzweiche.jpg)
ในส่วนของการออกแบบวงจรครอสโอเวอร์ก็เลือกใช้อุปกรณ์เกรดสูง สายที่เดินภายในตัวลำโพงก็เป็นสายอย่างดี ดูขนาดหน้าตัดของสายก็ใหญ่กว่าลำโพงทั่วไป และยังเป็นสายแบบ 2 เส้นตีเกลียวกันอีกด้วย ด้านหลังของลำโพงส่วนบนจะเป็นที่อยู่ของท่อเบส ซึ่งมีขนาดใหญ่พอดู ผมว่าใหญ่พอๆ กับพวกซับวูปเฟอร์ 10 นิ้วได้เลย ถัดลงมาด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของแผงตัวหนังสือต่างๆ และขั้วต่อลำโพง ซึ่งทำได้สวยงามดี ดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหรูหรา ขั้วต่อลำโพงมีขนาดใหญ่ใช้งานได้เหมาะมือดี และสามารถเชื่อมต่อสายลำโพงได้อย่างแน่นหนา
การออกแบบโดยรวมของเจ้า Reference 9 K ผมรู้สึกว่ายังคงเป็นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ Canton ชัดเจน คือเป็นการออกแบบเรียบๆ ธรรมดาๆ ไม่หวือหวา แต่ดูแล้วแข็งแรง แฝงด้วยความหรูหรา
สเปคของเจ้า Reference 9 K นั้นระบุไว้ว่า ความต้านท้านต่ำสุด 4โอห์ม สูงสุด 8โอห์ม ลำโพงมีความไว 87 dB รองรับกำลังขับ 120-200 W ตอบสนองความถี่ 25-40000 Hz มีจุดตัดครอสโอเวอร์อยู่ที่ 3000 Hz
การเซ็ทอัพ
ด้วยขนาดตัวตู้ที่ใหญ่ของมัน ท่านที่อยากจะใช้งานเจ้า Reference 9 K จึงควรที่จะจำเป็นต้องมีที่ทางให้มันได้แสดงศักยภาพสักหน่อย เพราะเจ้า Reference 9 K เป็นลำโพงที่ต้องวางห่างกันมากกว่าลำโพงวางขาตั้งทั่วไป น่าจะเริ่มๆที่ 180 ซ.ม ขึ้นไป ช่วงแรกผมเริ่มวางห่างกันที่ 170 ซ.ม พบว่ามีอาการเสียงหนาเป็นกระจุกอยู่ตรงกลาง ไม่แสดงรูปวงที่ชัดเจน ผมจึงเริ่มขยับห่างออกเรื่อยๆ จนมาจบที่วางห่างกัน 190 ซ.ม จึงจะลงตัวสำหรับห้องของผม ส่วนผนังด้านหลังก็ควรจะมีพื้นที่ว่างพอสมควรครับ เพราะเจ้า Reference 9 K มีท่อเบสด้านหลังขนาดใหญ่ ถ้าวางชิดผนังหลังมากเกินไปจะเกิดอาการเบสบวม เบสล้น ได้ง่ายมาก ระยะที่ดีสำหรับห้องฟังของผมคือ 110 ซ.ม
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/reference-9k_6409.jpg)
ส่วนที่เป็นจุดสำคัญอย่างที่สุดเลยสำหรับการเซ็ทอัพเจ้า Reference 9 K ก็คือขาตั้งลำโพงนั่นเอง ด้วยความที่เป็นลำโพงที่มีความลึกมาก และน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ (14กิโลกรัม) ขาตั้งที่เราจะนำมาใช้งานนั้น จึจำเป็นต้องดูขาตั้งที่มีเพลทบนค่อนข้างใหญ่สักหน่อย และตอนวางลำโพงลงไปก็ควรจะเฉลี่ยน้ำหนักด้านหน้าและท้ายลำโพงให้ดีตอนวาง คือควรมีการวางให้เพลทกินพื้นที่ไปทางด้านแผงหน้าลำโพงสักเล็กน้อย เพราะถ้าเรายกลำโพงขึ้นมาดูจะรู้สึกได้ว่าด้านแผงหน้าลำโพงจะหนักกว่าด้านหลังอยู่พอสมควร
การเฉลี่ยน้ำหนักการวางบนขาตั้งมีผลกับเสียงของเจ้า Reference 9 K อยู่พอสมควร ถ้าเราเฉลี่ยน้ำหนักได้ดีก็ทำให้เสียงเบสออกมาได้ดี มีน้ำหนัก และกระชับขึ้นครับ ส่วนความสูงของขาตั้งก็สำคัญ ด้วยความที่เจ้า Reference 9 K มีความสูงค่อนข้างเยอะ ขาตั้งโดยปกติทั่วไปที่มีความสูง 24นิ้ว ดูจะสูงเกินไปหน่อย จากการทดสอบผมคิดว่าขาตั้งไม่ควรเกิน 22 นิ้ว ถ้าขาตั้งสูงเกินไปอาจทำให้น้ำเสียงไปทางแห้งบางได้ และเสียงเบสไม่ทิ้งตัว
ผลการรับฟัง
ผมได้ใช้ห้องกว้าง 3.5 เมตร ยาว 5 เมตร มีการปรับอคูสติกห้องเล็กน้อยในการทดสอบ เจ้า Reference 9 K วางบนขาตั้งเหล็กมวลหนัก สูง 22 นิ้ว ใช้เครื่องเล่น CD Moon cd 1 ปรีแอมป์ NAD C 160 พาวเวอร์แอมป์ Proceed Amp 2 สายสัญญาณ QED สายลำโพง Audioquest Rocket 33
จากความไวของลำโพงที่ระบุมา 87 dB อาจจะมองดูว่าต่ำอยู่สักหน่อย แต่เจ้า Reference 9 K ก็ไม่ได้ขับยากอะไร พาวเวอร์แอมป์ของผมมีกำลังอยู่ 150 W ถึงจะขับได้ไม่หมดจดแต่ก็ขับออกได้ดีครับ ผมต้องเพิ่มปุ่มวอลลุ่มขึ้นอีกนิดเดียว ถ้าเทียบกับลำโพงความไว 89 dB ที่ใช้อยู่ประจำ ส่วนน้ำเสียงที่ได้ก็มีความกระฉับกระเฉง และสะอาดดี
ผมได้เปิดหนังสือคู่มือที่ให้มาในกล่อง ทาง Canton ได้ระบุไว้ว่าเจ้า Reference 9 K มีชั่วโมงการเบิร์นอินอยู่ที่ประมาณ 20 ชั่วโมง ซึ่งดูเป็นลำโพงที่ใช้เวลาในการเบิร์นน้อยมาก ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมจึงได้ใช้เจ้า Reference 9 K เปิดฟังเพลงไปเรื่อยๆ วันนึงประมาณ 3-4 ชั่วโมง สุ่มเสียงที่ได้ยินตอนแรกถือว่าดีมากสำหรับลำโพงที่ยังไม่ได้เบิร์นอิน เรียกได้ว่าแกะกล่องก็ฟังได้ทันทีเลย เสียงแหลมมีความสะอาด กระจ่าง ไม่มีอาการแหลมจัดแต่อย่างใด เสียงเบสมีปริมาณและคุณภาพมาให้ตั้งแต่ยังไม่เบิร์นอิน
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/canton-reference-9-k-gruppenbild2.jpg)
ผมฟังมาได้อยู่ 4-5 วัน ก็เริ่มมาสะดุดหูที่ว่าเจ้า Reference 9 K เริ่มมีน้ำเสียงที่ดีขึ้นอย่างที่สังเกตุได้ไม่ยาก นับเวลาที่ได้เปิดใช้งานไปก็ใกล้เคียง 20 ชั่วโมง อย่างที่ในคู่มือได้บอกไว้จริงๆ คือเสียงทุกเสียงดีขึ้นหมด เสียงแหลมมีเนื้อเสียงที่มากขึ้น เสียงกลางก็มีความเป็นตัวต้นมากขึ้น เสียงเบสมีความกระชับขึ้น เสียงโดยรวมเปิดเผยและแจกแจงชิ้นดนตรีต่างๆได้ดีขึ้น เป็นลำโพงที่เบิร์นอินได้เร็วมากๆ อย่างนี้นักเล่นหลายคนคงชอบไม่น้อย ไม่เหมือนกับลำโพงบางคู่ที่เปิดฟังตอนแรกเสียงฟังไม่ได้เลย แถมยังต้องเบิร์นอินอีกเป็น 100 ชั่วโมง นักเล่นที่ใจไม่เย็นพออาจจะถอดใจไปก่อนได้ ผมได้เบิร์นอินเจ้า Reference 9 K ไปต่อจนถึงชั่วโมงที่ 30 จึงรู้สึกได้ว่าเสียงมีความอยู่ตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้แล้ว จึงเริ่มได้เริ่มฟังทดสอบอย่างจริงจัง
จุดเด่นของเจ้า Reference 9 K คือเสียงที่เป็นสไตล์เยอรมันโดยแท้ คือเสียงมีความชัดเจนทุกย่านเสียง และเสียงเบสที่ถึงลูกถึงคน มีแรงปะทะดี ถึงจะเป็นแค่ลำโพงวางขาตั้ง แต่ผมบอกได้เลยว่าเสียงเบสมีมาให้อย่างพอเพียงแน่นอน โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้ามาแต่อย่างใด
ย่านเสียงแหลมนั้นมีความสะอาดมากๆ และมีความแฟลตสูง คือไม่แต่งเติมสีสันใดๆเข้าไปเลย มีความกระชับ และรวดเร็ว เปิด กระจ่าง ในแง่โดยรวมเสียงแหลมอาจจะไม่ใช่ออกสไตล์นุ่มนวลแต่ก็มีความสุภาพฟังสบายในน้ำเสียงอยู่พอสมควร และผมก็ไม่เคยพบอาการเสียงแหลมจัดจากแผ่นใดๆ ในการทดสอบ เสียงแหลมที่ได้จาก Reference 9 K เป็นเสียงแหลมที่ให้ถึงเนื้อเสียงแหลมอย่างแท้จริง ชัดและแจกแจงให้ถึงทุกรายละเอียด
ส่วนเสียงกลางจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับเสียงแหลม คือเน้นเปิด กระจ่าง ชัด แต่ยังมีความอบอุ่นของเสียงร้องอยู่ เสียงร้องจะไม่ได้เป็นเนื้อหนามากนัก นักร้องเสียงต่ำบางคนอาจจะฟังเสียงบางไปสักหน่อย แต่จะได้ความชัด กระจ่าง เข้ามาแทน
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/69ac1d4f9bb3a3af5751e4451212896c.jpg)
สิ่งที่เจ้า Reference 9 K ทำได้ดีมากๆคือเสียงเบส อย่างที่ผมได้จั่วหัวเอาไว้ตอนแรก เป็นเสียงเบสที่ผมขอเรียกว่าสมบูรณ์แบบมากๆ คงเป็นผลดีที่มาจากตัวตู้ที่ลึกบวกกับโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และวูฟเฟอร์ขนาดถึง 7 นิ้ว ที่มีการใช้วัสดุที่เบาแต่แข็งแกร่งและขอบยางแบบ wave surround ทั้งหมดนี่คงส่งผลให้ Reference 9 K ตอบสนองความถี่ต่ำได้ดีมากๆ เสียงเบสตั้งแต่เบสต้นยันเบสลึกๆ มีให้เราได้ยินชัดเจนตลอด
ที่ผมประทับใจกับเจ้า Reference 9 K มากๆก็คือ การแสดงรายละเอียดของเบสต้นได้อย่างยอดเยี่ยม เพลงร็อค หรือ แจ๊ส ที่มีกีตาร์เบสตีคอร์ดให้จังหวะ จะได้ยินเสียงพวกนี้ชัดมากๆ เป็นความชัดที่แจกแจงรายละเอียดได้ครบถ้วน ฟังออกได้เลยว่าเป็นโน๊ตไหน คีย์ไหน ดีดเบา หรือ ดีดค่อย และถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีอื่นจะเล่นดังขึ้นมา แต่เสียงกีตาร์เบสก็จะยังได้ยินชัดอยู่ ผิดกลับลำโพงปกติทั่วไป ที่ผมรู้สึกว่าเสียงกีตาร์เบสจะโดนกลบไปหมดเมื่อเสียงเครื่องดนตรีอื่นดังขึ้นมา ส่วนเบสที่ลึกลงมาหน่อยอย่างเสียงพวกคิกดรัมก็ให้แรงปะทะได้ดีเยี่ยม มีความชัดเจนและกระชับ ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าส่งออกมาเป็นลูกๆ มีความใหญ่และลึก ที่สำคัญในเบสลึกก็ยังให้รายละเอียดได้ดีเยี่ยม เสียงคิกดรัมของแต่ละแผ่นแต่ละเพลง ฟังออกได้เลยครับว่าต่างกันยังไง
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/santana-supernatural-1560437479-compressed.jpg)
ผมพูดได้เลยว่าบางเพลงผมนั่งฟังแค่คิดดรัมก็สนุกแล้ว เพราะเจ้า Reference 9 K มันมีดีที่ตรงนี้จริงๆ มันทำให้ผมฟังอัลบัม Supernatural ของ Santana ได้เพราะมากๆ เพราะเสียงกีตาร์เบส และคิกดรัม ที่ได้ยินมันไม่เหมือนลำโพงอื่นๆจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเอ๊ะเพลงนี้เสียงเป็นอย่างนี้เหรอ ตรงนี้มีกีตาร์เบสด้วยเหรอ ผมใส่แผ่นเข้าไปกะว่าจะเลือกฟังแค่ไม่กี่เพลงก็กลายเป็นว่าฟังทั้งอัลบัมไปเลย
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/71sxlkhz8L._SL1425_-1024x1024.jpg)
สิ่งที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของเจ้า Reference 9 K คือมันเป็นลำโพงที่ให้ความฉับไว และ จังหวะจะโคน ดีมากๆ คือเสียงทุกเสียงมีความกระชับฉับไว เสียงพวกเพอร์คัสชันต่างๆ ที่เล่นคลอ หรือดังขึ้นมาแซมระหว่างเพลง เราจะได้ยินชัดมากๆ และวางตำแหน่งของเสียงได้ถูกต้อง บ่งบอกถึงตัวตนของเสียงได้ดี เสียงที่แยกลำโพงซ้ายขวา จะฟังชัดมีมิติออกมาได้ดี อย่างเช่นเพลง Hotel California ที่มีกีตาร์ และเพอร์คัสชันแยกซ้ายขวาอยู่เยอะ เราจะสามารถฟังทุกเสียงแยกจากกันได้ชัดเจน ตำแหน่งถูกต้อง คล้ายๆกับฟังจากหูฟังเลยทีเดียว
ความเป็นตัวตนของเสียงเจ้า Reference 9 K ก็มีอยู่สูงมาก แจกแจงชิ้นดนตรีได้แบบโปร่งใส รับรู้ได้ถึงมิติการวางตำแหน่งเครื่องดนตรีอย่างชัดเจน ลำโพงเสียงดีๆสมัยนี้ที่ผมเคยได้ฟังมาส่วนใหญ่จะสามารถทำส่วนตรงนี้ได้ดีมากๆ ส่วนหนึ่งผมคิดว่าคงมากจากเทคโนโลยีในการออกแบบที่ดีขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยคำนวนค่าต่างๆ และวัสดุที่นำมาทำตัวไดร์เวอร์ก็มีการคิดค้นและพัฒนากันขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดเสียงที่ดีแบบนี้ขึ้นมา
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/zhao-peng-the-greatest-basso-1024x949.jpg)
ทางด้านเวทีเสียงนั้น Reference 9 K จะเด่นในเรื่องของเวทีด้านกว้างมากกว่าด้านลึก ด้านลึกอาจจะไม่โดดเด่นสักเท่าไร แต่ด้านกว้างทำได้ดีมากทีเดียว โดยมีความกว้างออกไปมากกว่าตัวลำโพงอย่างชัดเจน อย่างเช่นเพลง The Ballad on A Boat จากอัลบัม The Greatest Basso Vol.1 ผมได้ยินเสียงสายน้ำกว้างออกไปจากตำแหน่งลำโพงอย่างชัดเจน และมีมิติที่ดูสมจริง เวทีทางด้านสูงเจ้า Reference 9 K ก็ทำได้ดีเช่นกัน เมื่อมีการเซ็ทอัพที่ดี เสียงร้องของนักร้องจะมีตำแหน่งลอยเหนือขึ้นไปจากลำโพงได้ชัดเจน
ตอนท้ายๆ ของการทดสอบผมได้นำแอมป์หลอดมาร่วมทดสอบด้วย เพราะอยากรู้ว่า Reference 9 K จะไปได้ดีกับแอมป์หลอดรึเปล่า ผมใช้แอมป์หลอดของ TS Audio รุ่น 211 Special มาทดสอบ ผลปรากฎว่าน้ำเสียงไปด้วยกันได้ดี แถมตัวลำโพงเองก็ขับไม่ยากด้วย ด้วยความที่เจ้า Reference 9 K มีความแฟลตอยู่แล้ว เสียงที่ได้ออกมาจึงแสดงความหวานของหลอดออกมาดีมากครับ น้ำเสียงสะอาด มีรายละเอียดสูง และจุดเด่นของ Reference 9 K ทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ ทั้งรายละเอียดของเสียงเบส ความฉับไว จังหวะจะโคนต่างๆ เรียกได้ว่าหากคุณนำ Reference 9 K ไปใช้กับแอมป์ทรานซิสเตอร์ คุณก็จะได้เสียงที่สะอาด แฟลต สุภาพตรงไปตรงมา มีเสียงกลางที่อบอุ่น ส่วนถ้าคุณนำไปใช้กับแอมป์หลอด คุณก็จะได้เสียงที่สด หวานขึ้น แต่ไม่มากจนเกินไป มีความสะอาด กระชับ และเที่ยงตรงอยู่
![](https://www.whatgroupmag.com/wp-content/uploads/2020/05/unnamed.jpg)
สรุป
Canton Reference 9 K ผมถือว่าเป็นลำโพงที่เพียบพร้อมตัวหนึ่ง น้ำเสียงที่ได้ออกมาจัดได้ว่ามีความเป็นไฮเอนด์ ทุกย่านเสียงทำได้ดี มีรายละเอียดสูงในทุกย่านเสียง ให้ความฉับพลันต่อการตอบสนองสัญญาณ การให้จังหวะจะโคน การบงชี้ตำแหน่งดนตรีได้อย่างดีเยี่ยม รองรับได้ทุกแนวเพลง ให้เสียงเบสได้เพียงพอต่อเพลงทุกแบบจริงๆ คุณอยากฟังสบายๆ ก็ได้ หรือคุณอยากฟังจริงจังแบบออดิโอไฟล์มันก็เอาอยู่ เจ้า Reference 9 K เป็นลำโพงที่เล่นไม่ยาก แต่คุณต้องใส่ใจเรื่องพื้นที่การจัดวาง และหาขาตั้งที่ดีให้มันสักหน่อยเท่านั้นเอง
ใครที่เคยคิดว่าลำโพงวางขาตั้งให้เสียงได้ไม่เต็มอิ่มเหมือนลำโพงตั้งพื้น ผมอยากแนะนำให้ลองฟังเจ้า Reference 9 K ดูครับ