Accuphase – แบรนด์ท็อปคลาสระดับตำนานจากญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1972 โดยสองพี่น้อง Nakaichi กับ Jiro Kasuga ได้ตัดสินใจลาออกจาก Trio-Kenwood Corporation (JVC Kenwood ณ ปัจจุบัน) มาก่อตั้งบริษัทของตัวเอง โดยร่วมกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดเดียวกัน ด้วยการโฟกัสไปที่การผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงเพียงอย่างเดียว มุ่งเน้นคุณภาพเสียงที่ไร้ที่ติ จนถึงการบริการแบบครบวงจร
ในช่วงเริ่มต้น Jiro Kasuga ใช้บ้านส่วนตัวของเขาในเมืองโอตะ (Ota) โตเกียว เป็นที่แรกที่ทำการออกแบบผลิตภัณฑ์ นั่นคือ ปรีแอมป์รุ่น C-200 คู่กับ เพาเวอร์แอมป์รุ่น P-300 และไม่นานนักก็มี จูนเนอร์ AM/FM รุ่น T-100 ตามออกมาอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งล้วนได้รับรางวัลมากมาย และได้รับการชื่นชมจากคนรักเสียงเพลง กระทั่งมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 1973 “Accuphase” ได้ย้ายเข้าสู่ตึกใหม่ในเขตโอบะ (Aoba) เมืองโยโกฮามา กระทั่งในปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากเริ่มกิจการมาได้ 10 ปี ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อดั้งเดิมจาก Kensonic Laboratory, Inc. มาเป็น Accuphase Lboratory, Inc. และทำการผลิตโปรดักซ์ต่างๆ คุณภาพระดับพรีเมียม ภายใต้ชื่อแบรนด์ Accuphase ซึ่งคำว่า Accuphase นั้นได้รับการดัดแปลงมาจากคำนำหน้า ACCU มาจากคำว่า “accurate” และรวมเข้ากับ PHASE ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของเทคโนโลยีเสียง
นับถึงปีปัจจุบัน Accuphase ได้ผันผ่านระยะเวลามาแล้วกว่า 50 ปี และมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากถึงเกือบสามร้อยรุ่น (เฉลี่ยปีละ 6 รุ่น) ซึ่งทุกรุ่นล้วนได้รับการออกแบบ สร้าง และจำหน่ายตามนโยบายที่สอดคล้องกัน นั่นคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงสุด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผลิตภัณฑ์ Accuphase หลายรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และมอบความน่าเชื่อถือขั้นสูงสุด ที่ได้กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับตำนานในประวัติศาสตร์ของเครื่องเสียง สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้จากรางวัลและเกียรติยศนับไม่ถ้วนที่มอบให้โดยสิ่งพิมพ์เสียงและเว็บไซต์อุตสาหกรรมทั่วโลก
ซึ่งในทุกปีที่ผ่านมา ถือเป็นธรรมเนียบปฎิบัติของทาง Accuphase ที่จะได้ส่งทีมงานบริษัทมาเยี่ยมเยือน “Hi-End Audio Group” ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และสำหรับในปีนี้ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา บุคลากรระดับหัวกะทิจาก Accuphase ก็ได้เดินทางตรงจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทย โดยปีนี้มีถึง 5 ท่านด้วยกัน ตั้งแต่ Mr.Shigemasa Saito (Founder and Corporate Advisor); Mr.Masaomi Suzuki (President); Mr.Takaya Inokuma (Director of Engineering Dept); Mr.Tatsuki Tozuka (Senior Manager of International Sales) และ Mr.Kohei Nishigawa (Manager of International Sales) เพื่อมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แนะนำต่อสื่อมวลชน รวมทั้งพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกค้าที่มาร่วมกิจกรรม
ซึ่งจากการพูดคุยกับ Mr.Shigemasa Saito ที่นอกจากจะได้ชื่อเป็นหนึ่งในทีมวิศวกรหนุ่มหัวก้าวหน้าผู้ก่อตั้ง (คนสุดท้าย อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ยังคงสุขภาพดี แข็งแรงมาก และมีคำพูดอย่างฉลาดหลักแหลม) แล้วนั้น เขายังคงดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้กับทาง Accuphase อีกด้วย โดยที่ว่า หากจะพูดไปแล้ว นับตั้งแต่วาระเฉลิมฉลอง 40 ปี แฟนานุแฟนของ Accuphase น่าจะพอจับสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในความเป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ออกมาในช่วงวาระดังกล่าว พูดได้เลยว่า เริ่มมีการพัฒนารุดหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นั้นอาจจะเป็นเพราะการออกแบบเริ่มได้รับแนวทางจากความคิดของทีมงาน “คนรุ่นใหม่” ใน Accuphase ภายใต้การกำกับดูแลของ Mr. Saito
ทั้งนี้นับถึงปัจจุบัน Accuphase ได้ก้าวผ่านวาระครบรอบ 50 ปี ทางทีมงาน What Hi-Fi? (Thailand) จึงได้สอบถาม Mr. Saito ว่า Accuphase ได้มีการเปลี่ยนแปลง topology ไปจากเดิมที่เคยเป็นมาหรือไม่? ซึ่ง Mr. Saito ก็ได้ตอบคำถาม ซึ่งพอสรุปได้ว่า Accuphase ในทุกวันนี้ได้พัฒนารุดหน้าไปมากทีเดียว จนพูดได้ว่า Accuphase เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดด้านไฮ-เอ็นด์ที่มีทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมล่าสุดอันทันสมัยบรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ก็คือ วัฒนธรรมความเป็น Accuphase ไม่ว่าผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ จะประสบความสำเร็จสูงเพียงใด แต่ Accuphase จะยังคงเป็นบริษัทเล็กๆ ของญี่ปุ่นที่ไม่สนใจต่อ “แนวร่วม” ใดๆ ในการยกระดับบริษัทให้ใหญ่โตขึ้น “Accuphase” ยังคงภาคภูมิใจกับการมีศักยภาพระดับหนึ่งในโลกด้วยตัวของตัวเราเอง
“Ferrari เมื่อ 10 ปีก่อนพวกเขาน่าจะผลิตรถได้ประมาณ 7000 คันต่อปี, 10 ปีต่อมาพวกเขาผลิตได้เกือบเท่าตัว สำหรับ Accuphase เมื่อ 10 ปีที่แล้วผลิตได้ประมาณ 5000 เครื่องต่อปี ทุกวันนี้ก็ยังคงผลิตอยู่เท่าเดิม เราเน้นที่คุณภาพของสินค้าและการผลิต เราไม่ได้เปลี่ยนปรัชญาไปตามกาลเวลา และเราก็ไม่ได้มีกลุ่มทุนที่เข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ Accuphase นี่คือสิ่งที่ทำให้ Accuphase ยังคงแข็งแกร่งมาจนเข้าสู่ปีที่ 50” Mr. Saito: Accuphase’s Founder and Corporate Advisor
…เมื่อช่วงปีที่แล้ว Accuphase ได้ก้าวผ่านวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ซึ่งก็ได้ทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้วหลายรุ่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น C3900 Preamplifier; DP-1000 PRECISION SA-CD TRANSPORT; DC-1000 PRECISION MDSD DIGITAL PROCESSOR; E-800 Class A Integrated Amplifier และ E-5000 Integrated Amplifier ซึ่งการเดินทางมาเยี่ยมเยือน “Hi-End Audio Group” ในครั้งนี้ Accuphase ก็จะได้มีผลิตภัณฑ์ใหม่เปิดตัวอีกถึง 3 รุ่น อันได้แก่ PS-1250 Clean Power Supply; A-300 Mono Power Amplifier และ E-4000 Integrated Amplifier
โดยที่ PS-1250: Clean Power Supply นั้น พูดได้เต็มปากว่า “ไม่ใช่แค่กรองไฟ แต่สร้างแหล่งพลังงานไฟใหม่ขึ้นใหม่” กันเลยทีเดียว …อย่างที่ทราบกันดีว่า ระบบไฟฟ้าของบ้านเรานั้น ไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ระบบไฟฟ้าจึงไม่เหมาะกับระบบเครื่องเสียง ที่จะทำให้ชุดเครื่องเสียงสามารถสำแดงสมรรถนะและคุณภาพเสียงออกมาอย่างเต็มที่ “PS-1250” จะเข้ามาช่วยทำหน้าที่ จัดการยกระดับคุณภาพระบบไฟฟ้า และกรองไฟใหม่ทั้งหมด ช่วยขจัดสัญญาณรบกวน และระบบป้องกันไฟฟ้าขั้นสูง ทำให้ชุด system ที่รับฟังมีเสียงที่น่าฟังขึ้น สะอาดขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมาพร้อมกับ Color LCD Display ใหม่ล่าสุด ที่จะแสดงให้ประจักษ์ได้ถึงคุณภาพ-ความราบเรียบของกระแสฟ้าที่ “PS-1250” ทำการจ่ายออกมา
A-300: Mono Power Amplifier นี่คือศักดิ์ศรีระดับท้อปสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์แอมปลิฟายเออร์ของ Accuphase ออกตลาดมาเพื่อแทนที่รุ่น A-250 ซึ่งแรกออกจำหน่ายในปี 2017 โดยยังคงความโดดเด่นในสถานะ Pure Class A Power Amplifier ที่มีกำลังขับสูงสุดของ Accuphase มากถึง 125 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อโหลดต่ำลง จนสามารถรองรับได้กับโหลดต่ำสุดๆ ที่ 1 โอห์ม ด้วยการจ่ายกำลังขับได้สูงถึง 1000 วัตต์ ตลอดภาระการทำงาน
A-300 ได้รับการยกระดับในหลายต่อหลายอย่างให้มีความเหนือชั้นยิ่งกว่า A-250 นับตั้งแต่ภาคจ่ายไฟแบบใหม่ที่ใช้หม้อแปลงแบบ toroidal ขนาดใหญ่ยักษ์ ควบคู่กับคาปาซิเตอร์กรองไฟคุณภาพสูงสั่งทำพิเศษที่มีค่าเก็บประจุมากถึง 10,000 ไมโครฟารัดจำนวน 2 ตัว กับทั้งยังได้จัดวางเส้นทางเดินสัญญาณขาเข้าใหม่ให้อยู่ห่างจากภาคจ่ายไฟ ช่วยให้สัญญาณรบกวนแทรกซ้อนนั้นลดลง นอกจากนี้ A-300 ยังมี gain selector เลือกค่าอัตราเกนการขยายสัญญาณได้ถึง 4 ค่าด้วยกัน Max, -3dB, -6dB และ -12dB เพื่อความเหมาะสมกับระดับความแรงสัญญาณขาเข้าจากปรีแอมป์ที่ใช้งานอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ A-300 ยังคงได้รับการออกแบบให้มีค่าแดมปิ้ง แฟคเตอร์สูงมากๆ ในระดับ Super High Damping Factor ที่มากกว่า 2000 เรียกได้ว่า เกินหน้ารุ่น A-250 ไปถึง 43% กันเลยทีเดียว ที่สำคัญ A-300 ยังได้รับการปรับเปลี่ยนมาใช้ Output Device ใหม่ล่าสุด เพื่อรองรับกับศักยภาพในระดับสูงสุดสมฐานะความเป็น Mono Power Amplifier ในระดับ flagship ของ Accuphase
มาถึง E-4000: Integrated Amplifier รุ่นน้องเล็กล่าสุด แต่ทว่าถอดแบบการทำงานมาจากรุ่น E-480 (12th generation Class AB high-power integrated stereo amplifier) โดยในส่วนของภาคปรีฯนั้นโดดเด่นด้วยการใช้ low-noise AAVA volume control ควบคู่ด้วยการปรับปรุงวงจรและอุปกรณ์ใหม่ล่าสุด ที่สำคัญภาคขยายกำลังนั้นยังใช้วงจรเดียวกับ P-7500 Flagship Class A stereo power amplifier ด้วยการใช้ four-fold parallel push-pull output stage arrangement ที่เป็น bipolar transistor จำนวน 4 คู่ ทำให้ E-4000 สามารถจ่ายกำลังขับได้มากถึง 180 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม และเพิ่มขึ้นเป็น 260 วัตต์ ที่โหลด 4 โอห์ม
นอกจากนี้ E-4000 ยังคงได้รับการออกแบบให้มีค่าแดมปิ้ง แฟคเตอร์สูงมากๆ ในระดับ Super High Damping Factor ที่มากกว่า 800 เรียกได้ว่า เกินหน้ารุ่น E-480 ไปถึง 33% กันเลยทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยแท้จริงแล้ว E-4000 ถูกซ่อน “ความลับเฉพาะ” ไว้ในตัว โดยที่ภายในนั้นได้รับการออกแบบให้เป็น mono-block construction พร้อมทั้งภาคจ่ายไฟแบบ massive power supply ที่ใช้หม้อแปลงแบบ toroidal ขนาดใหญ่ ควบคู่กับคาปาซิเตอร์กรองไฟคุณภาพสูงสั่งทำพิเศษที่มีค่าเก็บประจุรวมสูงถึง 40,000 ไมโครฟารัด เรียกได้ว่า ทุกอย่างในความเป็น E-4000 นั้นเกินหน้าความเป็นอินติเกรตแอมป์รุ่นน้องเล็กไปไกลลิบ