Test Report
AUDIA FLIGHT CD ONE M
หัสคุณ
เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลีแล้ว คุณจะนึกถึงอะไรบ้างครับ ถ้าเป็นคนชอบฟุตบอลคงจะนึกถึงฟุตบอลกัสโซ่ ซีเรียอา (CALCIO SERIE A) หรือนักฟุตบอลอย่างฟรันเซสโก ต๊อตติ ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวก็คงต้องนึกถึงเวนิส หรือไม่ก็กรุงโรม ถ้าเป็นนักชิมก็ต้องนึกถึงฟิซซ่า หรือไม่ก็สปาเก็ตตี้ แล้วถ้าเป็นนักเล่นเครื่องเสียงละคุณจะนึกถึงอะไร จะเป็น SONUS FABER, UNISON RESEARCH, PHATOS หรือไม่ก็คงเป็น PRIMA LUNA
ในครั้งนี้ก็มีเครื่องเสียงแบรนด์ใหม่อย่าง AUDIA FLIGHT จากประเทศอิตาลีมาแนะนำให้รู้จักกัน AUDIA FLIGHT ซึ่งมีทั้งชื่อรวมทั้งสัญลักษณ์หรือโลโก้ที่มีลักษณะคล้ายกับ “ปีก” หรือใบพัดของเครื่องบิน หรือบางทีอาจจะหมายถึงปีกของนกนางนวลก็เป็นได้ แต่สัญลักษณ์ดังกล่าวก็คงจะพอบอกถึงเจตจำนงค์ของบริษัทได้ค่อนข้างเด่นชัดในตัวของมันเอง อันที่จริง AUDIA FLIGHT เองก็เข้ามาในบ้านเราเป็นระยะเวลามาสักระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ AUDIA FLIGHT เองอาจจะทำตัวลึกลับเหมือนกับเครื่องบินสอดแนมอย่าง STEALTH ที่สามารถหลบหลีกการตรวจจับจากนักเล่นในบ้านเรามาได้จนถึงปัจจุบัน
ที่มาของ AUDIA FLIGHT
AUDIA FLIGHT นั้นก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1996 โดยความร่วมมือของนักอุตสาหกรรมผู้มีความช่ำชอง 2 คน ได้แก่ MASSIMILIANO MARZI และ ANDREA NARDINI บริษัท AUDIA FLIGHT นั้นตั้งอยู่ในเมืองริมฝั่งชายทะเลอย่าง CIVITAVECCHTA ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงโรม ทางฝั่ง ADRIATIC COAST สำหรับระยะทางนั้นต้องเดินทางออกจากกรุงโรมประมาณ 70 กม.ไปทางฝั่งตะวันตก ทั้ง MASSIMILIANO MARZI และ ANDREA NARDINI มีประวัติและคลุกคลีอยู่ในวงการอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับโปรเฟสชั่นแนล (PROFESSIONAL ELECTRONICS INDUSTRY) พวกเขาทั้ง 2 มีแนวคิดรวมทั้งการออกแบบวงจรภาคขยายแบบ DIFFERENTIAL AMPLIFICATION ที่แตกต่างออกไปจากที่นิยมใช้กัน ซึ่งส่วนมากจะนิยมใช้การป้อนกลับ (FEEDBACK) ที่ใช้แรงดัน (VOLTAGE) เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า VOLTAGE FEEDBACK นั่นเอง ทั้ง 2 มองว่าด้วยวงจรดังกล่าวจะส่งผลให้สัญญาณนั้น ขาดความเที่ยงตรงไปจากสัญญาณต้นฉบับ เกิดความคลาดเคลื่อนและผันผวนที่เรียกว่า OSCILLATION ในสัญญาณ STEP IMPULSE หลายครั้งก่อนที่จะสามารถควบคุมให้นิ่งได้ ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลให้เกิด “สีสัน” (COLORATION) รวมทั้งทำให้สัญญาณเฉียบพลัน หรือ TRANSIENT RESPONSE (SLEW-RATE) นั้นช้าลง ขาดความถูกต้อง และผิดเพี้ยนไปจากสัญญาณจริง
ทั้ง 2 เลยใช้เวลาประมาณ 2 ปี (1994 – 1996) ในการคิดค้น และออกแบบวงจรใหม่ที่ใช้กระแส (CURRENT) และเรียกมันว่าวงจร “CURRENT FEEDBACK” โดยที่ภาคขยายจะเป็นวงจรแบบ TRANS IMPEDANCE ซึ่งมีความลิเนียร์ (LINEAR) ที่สูงมาก โดยที่การป้อนกลับ (FEEDBACK) จะถูกวางไว้ใกล้กับภาคเอาท์พุทมากที่สุด ซึ่งผลที่ได้ก็คือ สัญญาณที่มีความรวดเร็วสูง (VERY FAST) ตอบสนองความถี่ได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน (VERY HIGH SPEED RESPONSE) และสามารถควบคุมโหลดของลำโพง (LOUDSPEAKER LOAD) ได้อย่างยอดเยี่ยม (EXCELLENT CONTROL)
วงจรดังกล่าวถูกใช้เป็นครั้งแรกในเพาเวอร์แอมป์ AUDIA FLIGHT รุ่น 100 AMPLIFIER และนำออกวางจำหน่ายในปีค.ศ. 1997 วงจร CURRENT FEEDBACK นี้ ได้กลายมาเป็นแกนสำคัญ (CORE) ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ AUDIA FLIGHT นับตั้งแต่บัดนั้น
นอกจากการคิดค้นและพัฒนาวงจรใหม่แล้ว ทาง AUDIA FLIGHT ยังได้ใช้เวลารวมทั้งความพยายามมิใช่น้อยในการค้นหาและคัดสรรอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมในระดับ FIRST CLASS ที่มีคุณภาพและศักยภาพในระดับชั้นยอด เพื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของ AUDIA FLIGHT เอง จุดหมายก็เพื่อการส่งผ่านสัญญาณที่สะอาดและเที่ยงตรง (CLEAR SIGNAL PATHS) รวมทั้งเลือกสรรหม้อแปลงคุณภาพสูงเพื่อจ่ายกระแสได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจที่สำคัญ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของ AUDIA FLIGHT อยู่ในระดับที่ “ดีเยี่ยม” (SUPERB)!
ผลิตภัณฑ์ของ AUDIA FLIGHT นั้นผลิตในประเทศอิตาลีทั้งหมด ด้วยการออกแบบที่มี “สไตล์” ผสานเข้ากับความทันสมัย จึงมีเอกลักษณ์และความสวยงามระดับงานศิลป์ ทาง AUDIA FLIGHT แบ่งไลน์การผลิตออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน อันได้แก่ THE THREE SERIES, THE CLASSIC SERIES และในระดับ TOP-OF-THE-LINE ก็คือ STRUMENTO SERIES
CD ONE M
AUDIA FLIGHT CD ONE M ถือว่าเป็นเครื่องเล่นซีดีในระดับ TOP ของตระกูล THE CLASSIC SERIES ก่อนหน้านี้ทาง AUDIA FLIGHT ได้นำเสนอเครื่องเล่นซีดีรุ่น CD TWO ออกมาเพื่อให้เป็นเครื่องเล่นซีดีในระดับเริ่มต้น หรือ ENTRY LEVEL และตามมาด้วยอินที เกรทแอมป์รุ่น TWO AMPLIFIER หลังจากนั้นจึงนำเสนอ CD ONE ออกมาเพื่อวางตัวในระดับที่สูงกว่า ต่อมาทาง AUDIA FLIGHT เหมือนกับจะทำการปรับปรุง CD TWO ใหม่ ในช่วงระยะเวลานี้เองทาง AUDIA FLIGHT ก็ได้นำเสนอเครื่องเล่นซีดีรุ่นใหม่คือ CD THREE เพื่อวางตัวเป็นรุ่นเล็กสุดในไลน์การผลิต CD THREE จึงได้กลายมาเป็นเครื่องเล่นซีดีในระดับเริ่มต้นแทน และเมื่อเร็วๆ มานี้เองที่ทาง AUDIA FLIGHT ได้นำเครื่องเล่นซีดีรุ่น CD ONE มาปรับปรุงเพื่อให้ก้าวทันกับยุคสมัยโดยการเปลี่ยนดิจิตอลอินพุทแบบ BNC COAXIAL INPUT มาเป็นขั้วต่อดิจิตอลอินพุทแบบ USB แทน พร้มกับเติมอักษร M เข้าไปเป็น รุ่น CD ONE M ตัวอักษร M ก็มาจากคำว่า MEDIA นั่นเอง
รูปลักษณ์และการออกแบบ
ทาง AUDIA FLIGHT ตั้งใจออกแบบ CD ONE M เพื่อหวังให้เป็นเครื่องเล่นซีดีในระดับ “อ้างอิง” (REFERENCE COMPACT DISC PLAYER) จริงๆ เริ่มต้นจากโครงสร้างของตัวถังที่มีเป็นโลหะที่มีความหนาเป็นพิเศษคือประมาณ 2 มม. พร้อมการทำสีแบบ NEXTEL-TYPE PAINT ซึ่งดูเรียบขรึมอย่างมีสไตล์ แผงหน้านั้นขึ้นรูปจากอะลูมิเนียมตันแบบ SOLID BILLET ALUMINIUM ที่หนาถึง 20 มม. CD ONE M จึงเป็นเครื่องเล่นซีดีที่ดูบึกบึน หนักแน่น และแกร่ง มีการขัดเลียนเนื้ออะลูมิเนียมแบบ HIGH GRADE BRUSHED FINISH แผงหน้าของ CD ONE M จึงเรียบเนียนอย่างมีระดับ ที่แผงหน้าจะมีการแบ่งออกเป็น 2 ระดับโดยพื้นที่ประมาณ 4 ส่วน 6 จะถูกวางระดับให้ต่ำลึกกว่าด้านล่างโดยวางสัญลักษณ์หรือโลโก้ของ AUDIA FLIGHT อยู่ที่ด้านซ้าย ซึ่งเมื่อเครื่องถูกเปิดและอยู่ในโหมด STANDBY จะมีไฟสีฟ้า (SOFT BLUE) สว่างและจะกะพริบเป็นระยะ ต่อเมื่อกดปุ่มให้อยู่ในโหมด “ทำงาน” (ON) ไฟสีฟ้าก็จะสว่างนิ่ง ถัดจากนั้นจึงเป็นจอดิสเพลย์ขนาดใหญ่วางตัวเหลื่อมมาทางด้านซ้าย จอแสดงผลจะบอกแทร็คที่เล่นรวมทั้งเวลาเป็นตัวเลขสีฟ้าขนาดใหญ่ (BIG BLUE DISPLAY) มองเห็นได้ชัดเจน แม้จะนั่งในระยะไกล
สำหรับพื้นที่ด้านล่างที่นูนออกมาจะเป็นที่ตั้งของปุ่มควบคุมทั้งหมด ซึ่งมีอยู่เพียง 8 ชุด ด้วยกัน เริ่มจากทางด้านซ้ายด้วยปุ่ม ON ตามมาด้วย PLAY, STOP, PAUSE, PREV, NEXT และ OPEN จากนั้นจึงเป็นชื่อรุ่น CD ONE M และอันดับสุดท้ายตามมาด้วยปุ่มเลือก INPUT เพราะ CD ONE M นั้นสามารถทำหน้าที่เป็น D/A CONVERTER ได้ ตัวปุ่มมีขนาดใหญ่กดได้ถนัดมือ อีกทั้งยังได้รับการทำสีให้มีความกลมกลืนเหมือนกับแผงหน้าอะลูมิเนียมแทบไม่ผิดเพี้ยน ถึงแม้ปุ่มควบคุมอาจจะมีมาให้เพียงแค่ 7 ปุ่ม แต่ก็สามารถครอบคลุมการใช้งานโดยทั่วไปได้อย่างเพียงพอ
ที่ด้านหลัง CD ONE M จะมีขั้วต่ออะนาลอกเอาท์พุทแบบ RCA ชุบทองอย่างดีและ BALANCED XLR มาให้อย่างละ 1 ชุด มีขั้วต่อดิจิตอลอินพุทมาให้ 2 ชุด เป็นแบบ RCA COAXIAL INPUT และ USB INPUT อย่างละ 1 ชุด สำหรับขั้วต่อแบบดิจิตอลเอาท์พุทจะมีแบบ RCA COAXIAL OUTPUT มาให้ 1 ชุด CD ONE M ยังมีขั้วต่อ AU-LINK ที่มีคอนเน็คเตอร์แบบ RJ-11 แบบ 4 CORE ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ COMMUNICATION FORT เพื่อเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับเครื่องเสียงของ AUDIA FLIGHT ตัวอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการส่งผ่านข้อมูลรวมทั้งการควบคุมการสั่งงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อการใช้งานดังกล่าวต้องใช้สาย DIGITAL CONNECTION CABLE (มีมาให้พร้อมกับ CD ONE M) เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องพร้อมกับโยกสวิตช์แบบคันโยกที่ด้านหลังไปที่ตำแหน่ง SLAVE ถ้าไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นนี้ก็ให้โยกไปที่ตำแหน่ง MASTER แทน ถัดมาจึงเป็นช็อคเก็ตแบบ 3 ขา IEC พร้อมกับสวิตช์เปิด/ปิดเครื่อง ในกล่องจะมีสายเอซีที่ปลายสายเป็นหัวปลั๊กแบบ 2 ขา ไม่มีกราวนด์มาให้
สำหรับขาด้านล่างทั้ง 4 ของ CD ONE M นั้นจะเป็นอลูมิเนียมกลึงขึ้นเป็นแท่งกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 2 นิ้วยึดติดกับแท่นเครื่องภายใน ที่ปลายขาจะเป็นเดือย (SPIKE)หัวมนที่สามารถหมุนปรับระดับความสูง-ต่ำได้
CD ONE M ถูกออกแบบมาเป็นเครื่องเล่นซีดีแบบ TOP LOAD ใส่แผ่นด้านบน AUDIA FLIGHT ได้ออกแบบให้ส่วนของทรานสปอร์ตนั้นแยกส่วนออกจากตัวถังเป็นอิสระอย่างชัดเจนโดยจะเป็นแผ่นอะลูมิเนียม เช่นเดียวกันแผงหน้ามีความกว้างประมาณ 19 ซม. มีความหนาประมาณ 3 มม. วิ่งเป็นแนวยาวจากด้านหน้าเครื่องไปจรดด้านหลัง บนฝาปิดจะมีการยิงเลเซอร์เป็นรูปโลโก้ของ AUDIA FLIGHT สำหรับการเปิด/ปิดถาดนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยมือ แบบแมนนวล แต่ควบคุมการเปิด/ปิดด้วยปุ่มกด OPEN เท่านั้น สัดส่วนของ CD ONE M นั้น อยู่ที่ 420 x 113 x 380 มม. (ก x ส x ล) มีน้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 15 กก. (รวมกล่องจะอยู่ที่ 18 กก.) ถือว่าเป็นเครื่องเล่นซีดีที่หนักเอาการ
ภายใน CD ONE M จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้นด้วยแผ่นเหล็กที่หนาเป็นพิเศษถึง 5 มม. ส่วนล่างเป็นที่วางของหม้อแปลง รวมทั้งภาคจ่ายไฟหรือเพาเวอร์ซัพพลาย รวมทั้งวงจรในภาค D/A CONVERTER และภาคดิจิตอลอินพุท และเอาท์พุท สำหรับส่วนบนจะเป็นที่วางของชุดทรานสปอร์ต และภาคอะนาลอกทั้งหมด
ใน CD ONE M นี้ ทาง AUDIA FLIGHT ได้เลือกใช้หม้อแปลงแบบเทอร์รอยด์ถึง 3 ชุดมี 3 ขนาดด้วยกัน ขนาด 60VA สำหรับภาคซัพพลายและทรานสปอร์ต ขนาด 50VA สำหรับภาคออดิโออะนาลอก และขนาด 25VA สำหรับวงจรภาคดิจิตอลโดยเฉพาะ โดยนัยก็เพื่อป้องกันการรบกวนที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวงจรภายในอย่างเด็ดขาดนั่นเอง ในภาคซัพพลายนั้น หม้อแปลงเทอร์รอยด์ขนาด 60VA จะทำงานร่วมกับคาปาซิเตอร์ RUBYCON ขนาด 3,300 UF 63V จำนวน 2 ชุด มีการแยกเร็กกูเรตไฟออกเป็น 5 ชุดด้วยกัน
สำหรับชุดทรานสปอร์ตนั้นใน CD ONE M เลือกใช้ชุดทรานสปอร์ตของ PHILIPS รุ่น CD Pro-2M ตัวแท่นจะเป็นเหล็กแบบ CAST-METAL ยึดตรึงอยู่บนแผ่นเหล็กหนาที่เป็นตัวกั้นกลางภายใน มีความใส่ใจในการยึดจับตัวแท่นมาอย่างดี เพื่อให้มีความมั่นคงสูงสุดแบบ SUPER RIGID CHASSIS พร้อมกับการจัดระบบ ISOLATION ของทรานสปอร์ตในลักษณะกึ่งแขวนลอย เพื่อลดการเกิดเรโซแนนซ์ได้ดี
ในส่วนของวงจรภาคดิจิตอลนั้นมีการแยกเร็กกูเรตไฟออกเป็น 7 ชุดด้วยกัน ในส่วนของดิจิตอลอินพุทแบบ RCA COAXIAL INPUT จะรับสัญญาณแบบ S/PDIF ซึ่งเป็นหน้าที่ของชิป CIRRUS LOGIC CS 8416 ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น DIGITAL AUDIO INTERFACE RECEIVER จุดเด่นของ CS 8416 คือมีค่า JITTER CLOCK RECOVERY ที่ต่ำเพียง 200 PS ทำให้ CS 8416 เป็นชิปที่จัดอยู่ในระดับ “ชั้นนำ” ของระบบ DIGITAL AUDIO RECEIVER ระดับ 192 kHz เลยทีเดียว
สำหรับขั้วต่อแบบ USB INPUT ทาง AUDIA FLIGHT เลือกใช้ชิป ADuM 3440 จาก ANALOG DEVICE เพื่อทำหน้าที่เป็น DIGITAL ISOLATOR เพื่อจัดการและรับมือกับสัญญาณรบกวน (NOISE) ที่ส่งผ่านมาจาก PC ADuM 3440 ได้รวมเอาการทำงานแบบ HIGH SPEED CMOS และระบบ MONOLITHIC AIR CORE TRANSFORMER TECHNOLOGY เข้าไว้ด้วยกัน จึงมีศักยภาพที่สูง และเหนือกว่าระบบ OPTOCOUPLER DEVICE ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพที่เป็นเยี่ยม
ทั้งอินพุท RCA COAXIAL และ USB DIGITCAL INPUT นี้ สามารถจะรองรับสัญญาณระดับ 24 BIT/192 kHz ได้
สำหรับวงจร CLOCK ทาง AUDIA FLIGHT ก็มีความใส่ใจ และให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน โดยใช้วงจร ANTI-JITTER CIRCUIT ทำงานร่วมกับ ULTRA PRECISION REFERENCE CLOCK ที่มีความเที่ยงตรงสูง มีค่าความคลาดเคลื่อนเพียง 2PPM. และสามารถคงความเที่ยงตรงแม้จะอยู่ในสภาวะการทำงานที่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติก็ตาม (TEMPERATURE COMPENSATED CRYSTAL OSCILLATOR) ในภาค D/A CONVERTER นั้น ใน CD ONE M ใช้ชิปของ ANALOG DEVICE AD 1895 ทำหน้าที่เป็น STEREO ASYNCHRONOUS SAMPING RATE CONVERTER อัพแซมปลิ้ง เป็นข้อมูลแบบ 24 BIT ที่ความถี่ 192 kHz จุดเด่นของ AD 1895 คือมีค่าไดนามิกเรนจ์สูงถึง 128 dB ค่า THD+NOISE อยู่ที่ -122 dB และมีค่า JITTER ที่ต่ำ สัญญาณจาก AD 1895 จะถูกส่งต่อไปยังชิป CIRRUS LOGIC CS 4398 เพื่อแปลงสัญญาณดิจิตอลกลับมาเป็นอะนาลอก CS 4398 นั้น ทำงานแบบ ADVANCED MULTI-BIT DELTA-SIGMA มีค่าไดนามิกเรนจ์อยู่ที่ 120 dB มีค่า JITTER ที่ต่ำเช่นกัน อีกทั้ง CS 4398 ยังมีภาคอะนาลอกเอาท์พุทเป็นแบบ DIFFERENTIAL ANALOG OUTPUT
สำหรับภาคอะนาลอกนั้น AUDIA FLIGHT ออกแบบวงจรเป็นแบบ DISCRETE FULLY BALANCED แท้ๆ มีวงจรทั้งหมด 4 ชุดด้วยกัน สำหรับวงจรภาคอะนาลอกนี้ จะมีวงจร FULLY DISCRETE DIODE BRIDGE รวมทั้งคาปาซิเตอร์ที่แยกเป็นอิสระเฉพาะภาค AUDIA FLIGHT ใช้วงจร CURRENT FEEDBACK CIRCUITRY ที่เป็นเทคโนโลยีของ AUDIA FLIGHT เอง พร้อมกับจัดวงจรแบบ DISCRETE CLASS A BIASED ทั้งหมด โดยภาคอินพุทจะเป็นวงจรแบบ DIFFERENTIAL สำหรับเอาท์พุทจะเป็นทรานซิสเตอร์แบบ HIGH-CURRENT BIPOLAR LOW-NOISE แบบ CLASS A OUTPUT ไม่มีการใช้คาปาซิเตอร์ใน FEEDBACK LOOP แต่อย่างใด
อุปกรณ์ภายในผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน แบบออดิโอเกรด ไม่ว่าจะเป็น รีซีสเตอร์แบบ METAL FILM 1% คาปาซิเตอร์ แบบ CERAMIC, POLYPROPYLENE และ POLYSTYRENE ในจุดที่สำคัญจะใช้คาปาซิเตอร์ของ RUBYCON ออดิโอเกรดเป็นส่วนใหญ่
CD ONE M จะมาพร้อมกับรีโมทคอนโทรล ที่ทำจากอะลูมิเนียมทั้งชิ้น ปุ่มกดเป็นโลหะ ขนาดเล็ก มีขนาดเหมาะมือและหนัก ถึงแม้รีโมทจะดูดีและมีความสวยงาม แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน ที่ไม่สามารถจะโปรแกรมเพลงใดๆ หรือจะดูเวลาที่เหลือของเพลงได้เลย สเปคของ AUDIA FLIGHT CD ONE M มีดังนี้
Technical Data Frequency response 0.5 Hz ÷ 20 KHz ± 0.1dB Upsampling 192 KHz Dynamic Range 122 dB THD + Noise > -100 dB Maximum output voltage 2.5 Vrms Output impedance 600 ohm Input sampling rates 32 – 192 KHz Resolution rates 16 – 24 bit Main voltage AC (50-60Hz) 100, 110-115, 220-230, 240 V Power consumption 70 W Dimensions and weigth 420x113x380mm (wxhxd) – 15 Kg Shipping dimensions and weigth 570x270x540mm (wxhxd) – 18 Kg |
ผลการทดลองฟัง
CD ONE M มีเวลามาอยู่กับพวกเรานานทีเดียว ทำให้มีโอกาสได้ลองใช้งานกับหลากหลายซิสเต็ม หลังจากที่เบิร์นเครื่องจนพร้อม ก็นำเข้าฟังเพื่อหาข้อสรุปกัน สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟังประกอบด้วย
อินทีเกรทแอมป์ : AURA VA 100 EVOLUTION MK II
ปรีแอมป์ : KRELL KSL, ADCOM GFP-750
เพาเวอร์แอมป์ : FORTE’F5, KRELL KSA 50 S,
ADCOM GFA-5800
ลำโพง : XAV SMALL ONE CLASSIC, B&W
805 S
สายนำสัญญาณ : ACROLINK 8N-A2080 III
EVOLUTION, VAMPIRE AI-II (RCA), BALANCED XLR
สายลำโพง : VAMPIRE ST-II
สายเอซี : XAC#5, MUSIC MUSE “THE
PROTOTYPE” AC CABLE
ฟิวส์ : MUSIC MUSE V2
ห้องฟังขนาด 4×8 เมตร ได้รับการปรับแต่งอะคูสติกมาอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่ CD ONE M อยู่กับพวกเรานั้น สามารถทำงานได้อย่างมั่นคง ไม่มีปัญหาอันใดแม้แต่น้อย การเปิด/ปิดของถาดนั้น ในครั้งแรกที่ใช้งานนั้น ก็รู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่ CD ONE M ก็ทำงานได้อย่างเที่ยงตรงทุกครั้งที่กดใช้งานอย่างถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในระบบกลไกที่ผ่านการออกแบบมาอย่างดี
ในคาบแรกของการฟัง พวกเราเชื่อมต่อ CD ONE M กับปรีแอมป์ด้วยสายนำสัญญาณแบบ RCA ผลปรากฏว่า CD ONE M ถ่ายทอดดุลเสียงค่อนมาทางบาง โดยเฉพาะกับย่านเสียงกลาง น้ำเสียงโดยรวมมีความกลมกลืนที่ดี มีการควบคุมองคาพยพของเสียงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง จะมีก็เพียงแต่ในย่านเสียงแหลมต้นที่กับบางแผ่นบางเพลงจะมีอาการเน้นหัวโน้ตออกมาอย่างชัดเจน เป็นการเน้นย้ำที่มุ่งเน้นความกระจ่าง ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีอาการหยาบกร้าวแต่อย่างใด ปลายเสียงแหลมทอดตัวออกไปได้ระยะหนึ่งก่อนจะเก็บตัวอย่างรวดเร็ว จังหวะของดนตรีมีความกระชับ ที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล เบสต่ำลงได้ไม่ลึกนัก ก่อนจะเก็บตัว ซาวด์สเตจด้านกว้างจะวางตัวอยู่ภายในระหว่างลำโพงซ้ายและขวา สำหรับความลึกนั้น สามารถวางตัวถอยลึกลงไปด้านหลังได้ดี โดยรวมแล้วถือว่า CD ONE M ทำได้ดี แต่ยังไม่ถึงกับโดดเด่น
ต่อมาได้ลองสลับสับเปลี่ยนไปใช้สายนำสัญญาณแบบ BALANCED XLR แทน ผลที่ได้ก็คือสามารถถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้ดีกว่าในเกือบทุกด้าน สมแล้วกับที่ CD ONE M ถูกออกแบบภาคอะนาลอกเอาท์พุทมาเป็นแบบ FULLY BALANCED แท้ๆ ดังนั้นตลอดการฟังพร้อมกับคณะลูกขุน รวมทั้งผลการฟังในการเก็บตกในภายหลังจึงเลือกการเชื่อมต่อ CD ONE M ด้วยสายนำสัญญาณแบบ BALANCED XLR ครับ
พวกเราเริ่มกันด้วยแผ่นเพลงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี อย่าง CLAIR MARLO (LET IT GO : SHEFFIELD LAB) ลูกขุนท่านแรกแสดงความคิดเห็นว่า CD ONE M ให้เสียงร้องที่ชัดถ้อยชัดคำ ฟังมีชีวิตชีวาดี อีกท่านกล่าวชมในเรื่องของความนุ่มนวล เสียงของ CLAIR MARLO นั้นมีความเนียนที่ฟังระรื่นหูดี อีกท่านนิยามเหมือนจะเป็นการสรุปว่า CD ONE M ให้น้ำเสียงที่สะอาด เคลียร์ มีความชัดเจนสูง นี่เป็นเสียงของเครื่องเล่นซีดีชั้นดีระดับไฮเอนด์เลยเชียว
เนื่องจากในช่วงที่กำลังฟังนั้น เป็นช่วงที่ใกล้ๆ กับงานประกาศรางวัล GRAMMY AWARDS ประจำปี 2013 พอดี ทำให้พวกเรานึกถึงศิลปินนักร้องผู้โด่งดังในอดีตที่เสียชีวิตไปในช่วงเวลาใกล้ๆ กันนี้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว พวกเราเลยงัดเพลงดังของเธอออกมาฟังกัน เพลงนั้นก็คือ I’LL ALWAYS LOVE YOU ที่ขับร้องโดย WHITNEY HOUSTON น่าแปลกที่ครั้งนี้ CD ONE M กลับถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้น่าผิดหวัง เสียงร้องของ WHITNEY HOUSTON กลับเรียวบาง ขาดน้ำหนัก ลูกขุนท่านหนึ่งแสดงความเห็นว่า เสียงร้องของเธอเหมือนกับจะเป็นการตะโกนมากกว่าร้องเพลงเสียด้วยซ้ำ (THE BODYGUARD ; ORIGINAL SOUNDTRACK ALBUM : USA)
แน่นอนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าว ถึงกับทำให้คณะลูกขุนรู้สึกแปลกใจ และอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้น้ำเสียงของ CD ONE M แตกต่างได้มากถึงขนาดนั้น พวกเราได้เปลี่ยนเพลงมาเป็นเสียงร้องของ JACQUELINE MARIE “JACKIE” EVANCHO ศิลปินเยาวชนที่มีอายุเพียง 10 ปี แต่เสียงร้องของเธอนั้น กลับทรงพลัง และมีความไพเราะอย่างเหนือชั้น คราวนี้ CD ONE M ก็ถ่ายทอดน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวากลับขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องของ JACKIE EVANCHO นั้น มีรายละเอียดที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล มีมวลที่หนาอย่างพอเหมาะ มีตัวตนที่เด่นชัด รู้สึกได้จากการฟังในทันทีที่เธอเปล่งเสียงออกมาด้วยสำเนียงอันแสนไพเราะ เป็นความชัดเจนที่มีความลงตัว แต่ไม่ขึ้นขอบ ไม่ว่า JACKIE EVANCHO จะร้องในคีย์สูงหรือต่ำก็ตาม AUDIA FUIGHT CD ONE M ก็นำเสนอพร้อมทั้งถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาได้อย่างทรงพลัง และน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง ลูกขุนท่านหนึ่งถึงกับอุทานว่า เหลือเชื่อเหมือนกับเครื่องเล่นซีดีคนละเครื่องกันเลย (JACKIE EVANCHO : DREAM WITH ME IN CONCERT : SONY MUSIC: USA)
ลูกขุนหนุ่มน้อยไฟแรงในคณะ ขอปิดท้ายด้วยเพลงคลาสสิก เพราะได้ทราบมาจากผู้ร้ว่า ถ้าเครื่องเสียงจากยุโรปอย่างอิตาลีแล้ว มันต้องใช้เพลงคลาสสิกฟังจึงจะเห็นความพิเศษที่ซ่อนอยู่ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ CD ONE M ถ่ายทอดการบรรเลงเปียโนของ VLADIMIR ASHKENAZY ในบทเพลง PIANO CONCERTO No.2 IN C MINOR, OP.18 ของ RACHMANINOV ที่บรรเลงร่วมกับวง LONDON SYMPHONY ORCHESTRA ที่กำกับโดยวาทยกร อย่าง ANDRE’ PREVIN ออกมาได้อย่างน่าฟัง สร้างความตื่นตาตื่นใจ และประทับใจให้กับคณะลูกขุนที่ร่วมฟังกันในวันนั้นอย่างยิ่ง (RACHMANINOV: PIANO CONCERTO 1-4 : DECCA)
หลังจากที่เหล่าคณะลูกขุนได้แยกย้ายสลายตัวกันกลับไป พร้อมกับความอิ่มเอิบใจในการฟังเพลงกันแล้ว ก็ได้เวลาเก็บตกกัน CD ONE M กับอีกที กับข้อสงสัยที่เกิดขึ้น จึงได้ทำการตรวจเช็คก็พบว่า มีฟิวส์ภายในเครื่องบางตัววางกลับทิศทางกันอยู่ จึงจัดการแก้ไขให้ถูกต้องแล้วก็เริ่มฟังกันใหม่ในภายหลัง
คราวนี้ AUDIA FUIGHT CD ONE M ก็ได้โอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองใหม่อีกครั้ง เสียงร้องของ WHITNEY HOUSTON ที่เป็นปัญหาคาใจในครั้งที่ฟังร่วมกับคณะลูกขุน มาคราวนี้ได้อันตธานหายไปจนหมดสิ้น! เสียงร้องของเธอกลับมามีมวลที่น่าฟัง มีความสดใส มีชีวิตชีวา ที่มาพร้อมกับรายละเอียดที่ดี ทักษะในการร้องที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเธอถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดถ้อย ชัดคำอย่างได้อารมณ์ นอกจากความสดใสและมีชีวิตชีวาแล้ว เสียงร้องของ WHITNEY HOUSTON ยังแฝงไว้ด้วยความเนียน ละเมียด ที่ฟังอบอุ่นและมีพลัง แทบจะตรึงคุณให้นั่งนิ่ง จดจ่อ เพลิดเพลินกับเสียงร้องของเธอเหมือนอยู่ในภวังค์
สำหรับเสียงแหลมนั้นมีความกระจ่างถ่ายทอดรายละเอียดได้ดีขึ้น มีความราบเรียบกลมกลืนที่มาพร้อมกับการถ่ายทอดบรรยากาศที่ดี ปลายเสียงแหลมทอดตัวออกไปได้ดีในระดับหนึ่งก่อนจะเก็บตัวลง ( OPUS 3 : LARS ERSTRAND AND FOUR BROTHERS )
กับเสียงร้องของป้า ELLA FITZGERALD แม้ CD ONE M จะถ่ายทอดน้ำเสียงของคุณป้าออกมา ด้วยมวลเสียงที่บางกว่าที่คุ้นเคย แต่ก็มีความนิ่งและมั่นคง พร้อมกับรายละเอียดที่ดี ให้ความรู้สึกเหมือนกับเสียงร้องของคุณป้าจะอ่อนวัย และฟังดูสาว และเพรียวบางขึ้น น้ำเสียงมีความอิ่มเอิบแต่ไม่หนา มีความสะอาด เกลี้ยงเกลาที่แฝงไว้ด้วยความละเมียด ให้ความรู้สึกที่เนียน นุ่มอย่างพอดี (ELLA FITZGERALD : FOREVER ELLA)
สอดรับกับเสียงในย่านกลางต่ำ ที่ CD ONE M ดูจะเน้นและให้ความสำคัญกับความต่อเนื่อง กลมกลืนกับย่านเสียงกลางเป็นหลัก เนื้อเสียงในย่านกลางต่ำนี้ จึงย่อหย่อนมวล รวมถึงความหนาของฐานเสียงไปบ้าง ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจนักเลง แฟนเพลงประเภทเสียงหนุ่ม “หล่อ” สไตล์เพลงแนวคันทรี อย่าง JOHN MICHAEL MONTGOMERY (KICKIN’ IT UP) หรือ COLLIN RAYE (LOVE SONGS) นัก
สำหรับเสียงในย่านอัพเปอร์เบสนั้น CD ONE M ถ่ายทอดจังหวะที่กระชับ มีความรวดเร็ว มีการย้ำเน้นที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล แต่แน่นและมีแรงปะทะที่ดี (THE MERRY ANGEL OPUS 5 “พญาลำพอง”) เบสต่ำนั้นอิ่ม แต่จะค่อยๆ ลดระดับความเข้มข้นของมวลเสียงลงเป็นลำดับแต่ก็สามารถแจกแจงรายละเอียดของเบสต่ำๆได้ดี (EXOTIC DANCES FROM THE OPERA : R&R)
สมรรถนะทางด้านอิมเมจนั้น CD ONE M สามารถตรึงตำแหน่งต่างๆ ภายในซาวด์สเตจได้อย่างมั่นคง วางระยะห่างของชิ้นดนตรีพร้อมกับการจำแนกแยกแยะได้อย่างชัดเจน ไม่มีการทับซ้อนกัน การขึ้นรูปของอิมเมจทำได้ดี แสดงให้เห็นว่า AUDIA FLIGHT ให้ความสำคัญกับวงจร ANTI-JITTER CIRCUIT และเลือกใช้วงจร ULTRA PRECISION REFERENCE CLOCK ที่มีความเที่ยงตรงที่สูง ส่งผลให้ CD ONE M มีค่าความคลาดเคลื่อนทางด้านเวลาที่ต่ำ CD ONE M นำเสนออิมเมจที่มีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ พร้อมกับการจัดวางวงที่เดินหน้า (FORWARD) กว่าแนวระนาบของของลำโพงเพียงเล็กน้อย ทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับว่านักร้องกำลังมายืนร้องอยู่ตรงขอบเวทีตรงหน้าของคุณ ซาวด์สเตจทางด้านกว้างสามารถวางตัวเลยลำโพงทั้งซ้ายและขวาออกไปได้ดี สัดส่วนความลึกนั้นอาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับด้านกว้าง แต่ก็วางระดับชั้นของความลึกลงไปได้ในระดับหนึ่ง สิ่งที่พิเศษสำหรับ CD ONE M ก็คือ การนำเสนอสัดส่วนความสูงและต่ำของอิมเมจที่ขยายตัวออกไปได้อย่างโดดเด่น คุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าการจัดวางของวงดนตรีจะอยู่สูงกว่าปกติที่คุ้นเคยโดยจะวางตัวอยู่ในระดับที่สูงเลยขึ้นไปเหนือกว่าลำโพงที่ใช้ฟัง ต้องถือว่าเป็นการนำเสนอขนาดของอิมเมจและซาวด์สเตจที่มีความพิเศษ และแตกต่างออกไปจากเครื่องอื่นๆซึ่งนับว่ามีน้อยครั้งจริงๆ ที่จะได้พบเจอ
และที่ต้องถือว่าเป็นทีเด็ดที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความสามารถของ CD ONE M ในการถ่ายทอดเสียง บรรเลงของเปียโนออกมาได้อย่างดียิ่ง ไม่สิ…ต้องเรียกว่า อยู่ในระดับ “น่าตื่นตาตื่นใจ” จริงๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการบรรเลงเปียโนของ VLADIMIR ASHKENAZY ใน PIANO CONCERTO No.2 IN C MINOR, OP.18 ของ SERGEL RACHMANINOV ที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์กับความรู้สึกที่หนักหน่วง (RACHMANINOV : PIANO CONCERTOS 1-4 VLADIMIR ASHKENAZY : DECCA) หรือการบรรเลงเปียโนที่สนุกสนาน มีชีวิตชีวาอันน่าประทับใจของ VLADIMIR HOROWITZ (HOROWITZ IN MOSCOW :DG) หรือการบรรเลงเปียโนที่มีจังหวะที่มั่นคง มีแบบแผน ในลักษณะของนักเปียโนฝีมือชั้นเยี่ยมอย่าง MITSUKO UCHIDA (MOZART : PIANO SONATA NOS 8, 11 & 12 FANTASIA : PHILIPS) หรือจะเป็นการบรรเลงเปียโนที่เปี่ยมพลัง และหนักหน่วงของ CAROL ROSENBERGER ที่บรรเลงเปียโน BoSENDORFER IMPERIAL CONCERT GRAND ออกมาได้อย่างเร้าร้อน และดุดันในเพลง BEETHOVEN PIANO SONATAS OPUS.57 (APPASSIONATA) (แผ่น DYNAMIC PIANO MIT-8001)
CD ONE M สามารถที่จะจำแนกและแยกแยะเรสโซแนนซ์ของคีย์เปียโนที่มีความสลับซับซ้อนออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนโดยไม่มีการตีรวน ทับซ้อนหรือสับสนแม้แต่น้อย เสียงของเปียโนถูกไล่เรียงและถ่ายทอดออกมาอย่างแจ่มชัด เต็มไปด้วยพลังและไดนามิคที่มีความแตกต่างกันในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง คุณจะสามารถสัมผัสฟังหรือรับรู้ถึงการให้น้ำหนักในการกดคีย์ของเปียโน รวมทั้งเทคนิคของศิลปิน รวมถึงอารมณ์ ที่แฝงอยู่ในบทเพลงที่แตกต่างกัน ได้อย่างน่าชื่นชม นี้ต้องถือว่าเป็นความสามารถที่เอกอุของ AUDIA FLIGHT CD ONE M ที่สามารถถ่ายทอดความงดงามของดนตรีออกมาได้อย่างโดดเด่นและเหนือชั้นอย่างแท้จริง
ได้ลองนำ CD ONE M ไปใช้ในซิสเต็มที่แตกต่างหลากหลายชุด สำหรับคุณภาพเสียงนั้น CD ONE M ยังนำเสนอเสียงที่มีความนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา มีความสะอาดและชัดเจนได้อย่างคงเส้นคงวา มีเพียงความสามารถในการถ่ายทอดความงดงามของดนตรีรวมไปถึงเรื่องของอิมเมจและซาวด์สเตจที่จะแปรเปลี่ยนไปตามศักยภาพของแอมป์หรือซิสเต็มที่นำมาร่วมใช้งานด้วยเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าซิสเต็มที่ใช้มีคุณภาพที่จัดอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมแล้วละก็…CD ONE M ก็จะนำพาให้คุณไปสัมผัสกับความเป็นดนตรีตามที่กล่าวมาในตอนต้นได้อย่างดียิ่ง
สรุป
CD ONE M จาก AUDIA FLIGHT ถือว่าเป็นเครื่องเล่นซีดีจากประเทศอิตาลีในระดับท็อปที่สามารถวางตัวในระดับไฮเอ็นด์ได้อย่างน่าภาคภูมิ ไม่ว่าจะเป็นเนื้องานที่ประณีตสวยงาม ดูบึกบึน และแข็งแกร่ง ที่สำคัญก็คือ คุณภาพเสียงที่ CD ONE M ถ่ายทอดออกมา จะชักนำให้คุณเพลิดเพลินไปกับอรรถรสของดนตรีได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ หรือล้า ยิ่งถ้าเป็นเพลงคลาสสิกโดยเฉพาะกับการบรรเลงเปียโนคอนแชร์โตด้วยแล้ว ถ้าคุณเป็นนักเล่นนักฟังที่ชื่นชอบในบทเพลงแนวนี้แล้วละก็ ต้องบอกว่าไม่ควรพลาด หาโอกาสไปทดลองฟัง AUDIA FLIGHT CD ONE M อย่างจริงๆจังๆดูสักครั้ง บอกได้คำเดียวว่าพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง นานๆ ทีจะมีเครื่องที่ผ่านเข้ามาในการทดสอบและเมื่อยามที่จะต้องส่งคืน แล้วยังรู้สึกอาลัย อยากจะให้อยู่กับพวกเรานานอีกสักนิด CD ONE M จัดเป็นหนึ่งในเครื่องที่ว่านี้! AUDIA FLIGHT CD ONE M จัดเป็นเครื่องเล่นซีดีที่อยู่ในระดับ “แนะนำ” ( RECOMMEND)ได้อย่างไม่รู้สึกลังเลครับ!
ขอขอบคุณ บริษัท อินเวนทีฟ เอวี จำกัด โทร. 0-2238-478-9 ที่เอื้อเฟื้อเครื่องมาให้ทดสอบในครั้งนี้