Heritage Series of Klipsch

0

Klipsch ก่อตั้งขึ้นใน Hope, Arkansas เมื่อปี 1946 ในชื่อ ‘Klipsch and Associates’ โดย Paul W. Klipsch ทำการผลิตตัวขับเสียง (drivers) และตัวตู้ลำโพง (enclosures) รวมถึงลำโพงประกอบสำเร็จ (loudspeakers) โดยมีแนวทางชัดเจนอยู่ที่การใช้ปากฮอร์น (horns) ช่วยเสริมสมรรถนะและคุณภาพเสียงของลำโพงประกอบสำเร็จ Klipsch เป็นหนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นในด้านของลำโพงแบบฮอร์น (horn loudspeakers) มาตั้งแต่เริ่มแรก และสืบสานต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดยมี Klipschorn เป็นรุ่นระดับเรือธงที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันระดับตำนานมาอย่างยืนยาว

นับตั้งแต่เริ่มต้นต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน จึงถือได้ว่า นี่เป็นการผลิตที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตลำโพงกันเลยทีเดียว แม้ว่าการออกแบบพื้นฐานของ Klipschorn จะมีอายุมากกว่า 70…เจ็ดสิบปีแล้วก็ตาม แต่หลักการทำงานของมันได้รับการแก้ไขเป็นระยะเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ในยุคแรกๆ ของ Klipsch ใช้ปากฮอร์นที่ทำจากโลหะ ซึ่งตัววัสดุสามารถถูกกระตุ้นเป็นเสียงก้องกังวานโดยพลังงานเสียง (acoustic resonances) อย่างที่เรียกกันว่า honkiness ซึ่งกลายเป็นการแต่งเติมสีสัน (coloring) แฝงเร้นให้กับน้ำเสียงโดยรวม

ต่อมา Klipsch จึงได้พัฒนาปากฮอร์นที่ทำจากไฟเบอร์กลาสแบบ โครงค้ำยัน (braced fiberglass) ซึ่งกล่าวกันว่า ช่วยลดเสียงก้องกังวานที่เป็นการแต่งเติมสีสันลงไปได้มาก และในปี 1989 Klipsch ก็ได้เปิดตัวฮอร์นสำหรับช่วงเสียงกลางที่มีลักษณะปากบานโค้งออก (flare) ในแบบของ tractrix horn ซึ่งช่วยลดอาการ ” honkiness” และให้เสียงที่แผ่กว้างมากขึ้นในขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับการออกแบบก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ Klipsch ยังได้ปรับเปลี่ยนจากไดอะแฟรมผ้าไหม (silk diaphragms) ไปเป็นไดอะแฟรมตัวขับเสียงแบบต่างๆ เช่น phenolic, aluminum และ titanium เพื่อให้ได้เสียงที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเข้าไปสู่ปากฮอร์นตั้งแต่ต้นทาง

นับแต่แรกเริ่ม ลำโพงของ Klipsch ได้รับอิทธิพลการออกแบบตามหลักการที่มีต้นกำเนิดจาก Bell Labs ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ด้วยวัตถุประสงค์ของการตอบสนองช่วงความถี่เสียงที่กว้างขวาง ครอบคลุมตั้งแต่ประมาณ 30 Hz ถึง 15 kHz รวมไปถึงการส่งมอบเวทีเสียงที่แผ่กว้าง โดยมีแนวทางของหลักการในความเป็น KLIPSCH SOUND อยู่ 4 ประการสำคัญ ตามที่ Paul W. Klipsch ได้ระบุไว้

– High Efficiency/Low Distortion (ประสิทธิภาพสูง/ความผิดเพี้ยนต่ำ): เทคโนโลยีฮอร์นของ Klipsch มีประสิทธิภาพสูง ให้เสียงที่แม่นยำยิ่งขึ้นโดยใช้พลังงานน้อยลง และความผิดเพี้ยนน้อยลง ส่งผลให้ได้เสียงที่ดังกว่า และสะอาดกว่า กฎของ Klipsch: ประสิทธิภาพแปรผกผันกับการบิดเบือน (Efficiency is inversely proportional to distortion)

 – Controlled Directivity (การควบคุมทิศทาง): เทคโนโลยีฮอร์นของ Klipsch นำเสียงไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในทางกลับกัน จะสร้างเวทีเสียงที่เหมือนจริงมากขึ้นโดยไม่สูญเสียพลังงานเสียงในจุดที่ไม่ต้องการหรือต้องการเสียง

– Wide Dynamic Range (ช่วงไดนามิกกว้าง): เสียงที่เบาที่สุดจะถูกสร้างขึ้นด้วยความชัดเจนที่โดดเด่น และเสียงที่ดังที่สุดจะถูกส่งโดยไม่มีเสียงกระด้างหรือผิดเพี้ยน — ด้วยช่วงระหว่างเสียงที่เบาที่สุดและดังที่สุดที่เป็นไปได้มากที่สุด

– Controlled Frequency Response (การตอบสนองความถี่ที่ควบคุมได้): เสียงจะถูกส่งโดยปราศจากเบี่ยงเบนทางความถี่ (frequency bias) — ไม่มีเสียงสูง กลาง หรือต่ำผิดธรรมชาติ — จำลองเสียงที่บันทึกไว้ได้อย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่มีการเติมแต่งสีสัน

ผลิตภัณฑ์โดดเด่นของ Klipsch

The Klipschorn

ลำโพง Klipschorn หรือ K-Horn เป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของ Klipsch Audio Technologies ได้รับการจดสิทธิบัตรโดยผู้ก่อตั้ง Paul W. Klipsch ในปี 1946 และมีการผลิตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในโรงงานของบริษัท Hope, Arkansas “Klipschorn” จึงมีฐานะที่เป็นลำโพงเพียงรุ่นเดียวในโลกที่ผลิตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 70 ปี และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แม้จะมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามยุคสมัย แต่หลักการทำงาน รวมทั้งรูปทรงยังคงอยู่ตราบจนปัจจุบัน ในปี 2006, Klipsch ได้นำเสนอ Klipschorn รุ่นครบรอบ 60 ปี ซึ่งเป็นรุ่นที่แยกจาก Klipschorn รุ่นมาตรฐาน; ในปี 2016, Klipsch เปิดตัว Klipschorn ฉลองครบรอบ 70 ปีพร้อมปากฮอร์นแบบ ปิดสนิท (fully enclosed horn) ซึ่งจำกัดการผลิตเอาไว้ที่ 70 คู่

“Klipschorn” มีมิติตัวตู้ขนาดใหญ่ สูง 51 นิ้ว (129 ซม.) x กว้าง 31 นิ้ว (79 ซม.) x ลึก 28 นิ้ว (72 ซม.) ออกแบบเป็น 3-ทาง: ตัวขับแยกกัน—วูฟเฟอร์, สควอกเกอร์ (squawker) และทวีตเตอร์ ทำหน้าที่จัดการส่วนเสียงทุ้ม เสียงกลาง และเสียงแหลมของสัญญาณเสียงตามลำดับ ด้วยการใช้ปากฮอร์นทรงสี่เหลี่ยม (rectangular horn) จำนวน 2 ตัว ทำหน้าที่สำหรับช่วงเสียงกลาง และเสียงแหลมที่ต่อกับตัวขับเสียงแบบ บีบอัด (compression drivers) จัดการเสียงกลางและเสียงแหลม ในขณะที่ใช้วูฟเฟอร์แบบ กรวยขนาด 15 นิ้ว ติดตั้งอยู่ในตู้เบสโดยเฉพาะแบบตู้พับ (folded bass bin compartment) เป็นตู้แบบพับที่เปิดด้านหลังของโครงสร้างตู้ฮอร์น แล้วใช้ผนังห้อง 2 ด้านและพื้น เป็นส่วนขยายต่อเนื่องจากโครงสร้างของฮอร์น กลายเป็นแบบฉบับของคำว่า “corner horn”

ที่สามารถอธิบายได้ว่า เป็นลักษณะของ exponential wave transmission line ที่กระจายคลื่นเสียงแบบสามเหลี่ยม-สองหน้า (พื้นและผนังสองด้านเพื่อสร้างมุมสามเหลี่ยม) จึงเท่ากับว่า ช่วยเพิ่มทั้งความยาวและขนาดของปากฮอร์น ทำให้ได้ประสิทธิภาพของฮอร์นที่เพิ่มมากขึ้นกว่าธรรมดา การใช้ขอบเขตของผนังห้องสองด้านและพื้นเป็นส่วนขยายของปากฮอร์นเสียงเบส ทำให้ช่วยขยายการตอบสนองความถี่ต่ำของลำโพงลงไปที่ช่วง 35 Hz ซึ่งต่ำกว่าที่จะเป็นไปได้อย่างตามปกติมากทีเดียว เนื่องจากฮอร์นแบบพับ (folded horn) ตัวกรวยวูฟเฟอร์จะขยับแค่ระยะไม่เกินสอง-สามมิลลิเมตร ค่าความผิดเพี้ยนจึงต่ำมาก

การออกแบบเยี่ยงนี้ส่งผลให้มีประสิทธิภาพสูงมาก กำลังขับเพียงแค่หนึ่งวัตต์ RMS สามารถสร้างระดับความดันเสียง (SPL) ได้มากถึง 105 เดซิเบลที่ระยะห่าง 1 เมตร ซึ่งสูงกว่าลำโพงทั่วไปประมาณ 14–20 เดซิเบลเลยทีเดียว ด้วยค่าความไวดังกล่าวจึงใช้กำลังของเครื่องขยายเสียงน้อยลง ในขณะที่ได้ค่าความดังเท่าเดิม ซึ่งนี่จึงเท่ากับว่า Paul Klipsch ได้แสดงให้เห็นว่า Klipschorn สามารถสร้างไดนามิกระดับคอนเสิร์ตโดยใช้กำลังเพียง 1 วัตต์ต่อแชนเนล ซึ่งเหมาะสมกับการใช้เครื่องขยายเสียงแบบหลอดสุญญากาศที่มีกำลังขับต่ำ “Klipschorn” (รวมถึง Klipsch รุ่นอื่นๆ ที่มีค่าความไวสูง) จึงกลายเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นในชุมชนของนักฟังแอมป์หลอดแบบ single-ended

ลำโพงรุ่นเก่าอื่นๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ Klipsch

ในบรรดารุ่นเดิมที่เคยสร้างชื่อเสียงให้แก่ Klipsch ได้แก่ La Scala และ Klipsch Belle ซึ่งใช้ระบบ fully horn-loaded แท้ๆ และมีความไวสูงมากคล้ายกับ Klipschorn ด้วยการใช้เบสฮอร์นรูปตัว “W” เช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องวางเข้ามุมห้องฟังเหมือนอย่าง Klipschorn นั่นก็คือ La Scala II ซึ่งใช้ไดรเวอร์เดียวกับ Klipschorn แต่มีปริมาตรตัวตู้เบสที่เล็กกว่า และขยายเสียงเบสได้น้อยกว่า (ทว่าได้รับการโหวตให้เป็น “Recommended Components” ของนิตยสาร Stereophile ในคลาส “A” สำหรับลำโพงที่มีการจำกัดช่วงความถี่ต่ำลึกล้ำ)  ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็รวมถึง Cornwall และ Heresy ซึ่งใช้ทวีตเตอร์และมิดเรนจ์แบบ ฮอร์น ร่วมกับวูฟเฟอร์แบบกระจายเสียงตรง (direct-radiating woofers) โดยมิได้เป็นแบบ เบสฮอร์น แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งค่าความไวเสียงในระดับที่สูงกว่าปกติทั่วไป

Heritage Speakers ลำโพงมรดกตกทอดของ Klipsch

นอกจากรุ่น Klipschorn แล้ว ลำโพงรุ่น Heresy, Rebel, Shorthorn, Cornwall, La Scala และ Belle Klipsch ยังได้ชื่อเป็นหนึ่งในลำโพงที่มีชื่อเสียงที่สุด ซึ่ง Paul W. Klipsch เป็นผู้ที่พัฒนาขึ้น และอยู่เบื้องหลังวิทยากรด้าน horn-loaded แท้ๆ ที่นับเป็นพื้นฐานสำหรับลำโพงของเราในปัจจุบัน สำหรับ “Klipsch” Heritage Series นั้นมีรุ่นลำโพงที่ประกอบด้วย Klipschorn, La Scala, Cornwall และ Heresy ที่ยังคงผลิตและจำหน่ายทั่วโลกในปัจจุบัน และยังคงถือว่า เป็นหนึ่งในลำโพงที่ดีที่สุดในโลก

Forte IV

Forte นับเป็นรุ่นลำโพงหนึ่งของ Klipsch ที่แรกออกจำหน่ายในปี 1985 และถือได้ว่า เป็นลำโพงที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งนับถึงปัจจุบัน ความเป็น Forte นั้นยังได้รับพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมาสู่ Forte IV ที่เป็นซีรี่ส์ล่าสุด โดยที่ทาง Klipsch ได้ทำการปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีล่าสุดในหลายส่วนด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิศวกรรมเสียง เพื่อการส่งมอบประสิทธิภาพระดับพรีเมียม ดังนั้นความเป็น Forte IV ณ ปัจจุบันจึงมิใช่ลำโพงธรรมดาๆ อีกต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไดรเวอร์ความถี่สูง ที่ไดอะแฟรมเป็น วัสดุไทเทเนียม (titanium diaphragm) ที่ให้ความแม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีปลั๊กเฟส (phase plug) ทำการกระจายเสียงแบบใหม่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ควบคู่กับ Tractrix® horn ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ “Mumps technology” ของ Klipsch ที่ให้เสียงที่สม่ำเสมอมากขึ้นทั่วทั้งพื้นที่การรับฟัง “Forte IV” เป็นลำโพงตั้งวางพื้นแบบฮอร์นโหลด 3-ทาง (three-way, horn-loaded, floorstanding loudspeakers) ช่วงความถี่ตอบสนองครอบคลุมตั้งแต่ 38Hz–20kHz ค่าความไว 99dB/2.83V/m ค่าอิมพีแดนซ์ปกติ 8 โอห์ม ขนาดตัวตู้ 908 x 422 x 330 มม. (สูงxกว้างxลึก) น้ำหนัก 32.7 กก. ต่อข้าง

โดยที่ไดรเวอร์ความถี่สูงเป็น titanium-diaphragm, compression driver รุ่น K-100-TI ขนาด 1″ (25.4 มม.) ติดตั้งร่วมกับฮอร์น K-79T ขนาด 6 × 4 นิ้ว โดยได้เพิ่มเฟสปลั๊กใหม่ล่าสุดที่เป็นวัสดุ ABS สำหรับไดรเวอร์ช่วงเสียงกลางเป็นแบบใหม่ polyimide compression driver รุ่น K-702 ขนาด 1.75 นิ้ว (445 มม.) ที่ผลิตโดย Celestion จับคู่กับฮอร์น K-703-M ขนาด 10 × 7 นิ้ว ส่วนไดรเวอร์ขับช่วงเสียงต่ำเป็น fiber-composite cone woofer รุ่น K-281 ขนาด 12 นิ้ว (305 มม.) โดยทำงานร่วมกับ passive cone radiator รุ่น KD-15 ขนาด 15 นิ้ว (381 มม.) ติดตั้งอยู่ขนาดหลังตัวตู้

“Forte IV” นั้นจัดอยู่ใน Heritage series ของ Klipsch ซึ่งประกอบโครงสร้างตัวตู้ขึ้นด้วยมือในสหรัฐอเมริกา (hand-assembled in the USA) โดยช่างฝีมือผู้ชำนาญการ และผ่านการ “จับคู่ลำโพง” ในลักษณะของ Matched Pair ทั้งนี้ Heritage Series จับคู่ลายไม้โดยใช้แผ่นไม้อัดที่เป็นไม้แท้จากไม้ชนิดเดียวกัน ตู้แต่ละตู้ได้รับการจับคู่อย่างระมัดระวัง ดังนั้นลำโพงแต่ละตัวในคู่จึงแทบจะแยกไม่ออกในความแตกต่าง เพื่อให้สมกับความเป็นลำโพง Klipsch Heritage Series ที่สรรค์สร้างมาให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว

Heresy IV

Klipsch เปิดตัว Heresy ดั้งเดิมครั้งแรกในปี 1957 เริ่มต้นจากการเป็นลำโพงแชนเนลกลางขนาดกะทัดรัด สำหรับใช้งานร่วมกับ Klipschorn® ในลักษณะของสเตอริโอสามแชนแนล โดยได้รับการออกแบบเป็นลำโพงแบบ 3-ทาง …ปัจจุบัน Heresy ได้มีพัฒนาการมาสู่ความเป็น Heresy IV ที่ให้คุณภาพเสียงอันเหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม ประกอบโครงสร้างตัวตู้ด้วยมือในสหรัฐอเมริกา (hand-assembled in the USA) โดยช่างฝีมือผู้ชำนาญการ

ด้วยการปรับเปลี่ยนไปใช้ midrange compression driver ที่เป็น polyimide diaphragm ขนาด 1.75 นิ้ว (44.5 มม.) รุ่น K-702 เพื่อการส่งมอบรายละเอียดเสียงได้ดียิ่งขึ้น โดยจับคู่กับ Tractrix® horn รุ่น K-704 ที่ให้การกระจายเสียงแบบใหม่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยในส่วนของตัวขับเสียงสูงนั้นใช้เป็นรุ่น K-107-TI จุดโดดเด่นที่ titanium diaphragm ขนาด 1 นิ้ว (25.4 มม.) พร้อมด้วยเฟสปลั๊กใหม่ล่าสุดที่ให้การกระจายเสียงแบบใหม่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น สอดรับและกลมกลืนกับตัวขับช่วงเสียงกลาง สำหรับตัวขับเสียงต่ำเป็น fiber-composite cone woofer รุ่น K-28-E ขนาด 12 นิ้ว (305 มม.) ในขณะที่วงจรเนทเวอร์คนั้นออกแบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะทางเสียงที่ดีที่สุดจากตัวตู้ขนาดกะทัดรัด

ทั้งนี้ Heresy IV มีความแตกต่างที่ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญจาก Heresy ดั้งเดิมก็คือ การปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบตู้เปิด โดยมีท่อเปิดติดตั้งอยู่ด้านหลังตัวตู้ (rear port) เพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงโดยรวมที่หนักแน่น ทรงพลังไม่ขาดแคลนเสียงเบสอีกต่อไป โดยสามารถครอบคลุมช่วงความถี่ตอบสนองตั้งแต่ 48-20,000Hz (+/-4dB) ค่าความไว 99dB/2.83V/m ค่าอิมพีแดนซ์ปกติ 8 โอห์ม ขนาดตัวตู้ 630 x 393 x 336 มม. (สูงxกว้างxลึก) น้ำหนัก 20.4 กก. ต่อข้าง