Polk Audio History ตำนานที่มีลมหายใจ

0

Mongkol Oumroengsri

ปัจจุบัน Polk Audio, Inc. เป็นหนึ่งในผู้ผลิตลำโพงสำหรับบ้าน และรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตามธรรมเนียมที่ยึดถือกันมา ผลิตภัณฑ์ของ Polk จะขายผ่านร้านเครื่องเสียงเฉพาะทาง ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทาง Polk ได้เสาะหาการจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ เช่น Best Buy และ Circuit City รวมถึงในต่างประเทศด้วย …อนึ่ง Polk ถูกขายบริษัทออกสู่สาธารณะ (publicly) ตั้งแต่ปี 1986 แต่ทางผู้ก่อตั้งบริษัทก็ได้นำพา Polk กลับมาสู่สถานะเอกชน (private status) ในปี 1999

จุดเริ่มต้น

Polk Audio ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 โดยบัณฑิตหนุ่ม 2 คนจาก Johns Hopkins University ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ Matthew Polk สาขาวิชาฟิสิกส์ และ George Klopfer นักศึกษาประวัติศาสตร์ ได้เริ่มต้นจากการสร้างระบบเสียงสาธารณะ (public address systems) สำหรับการประชุมของนักเล่นไวโอลินในท้องถิ่น หลังจากจบการศึกษาในปี 1971 จากนั้นทั้งคู่ได้ตัดสินใจว่า พวกเขาจะเริ่มต้นธุรกิจเกี่ยวกับการทำลำโพง (audio speakers) บริษัทของเขาทั้งสองก่อตั้งขึ้นด้วยทุนเพียง 200 ดอลลาร์ ได้รับการตั้งชื่อตาม Polk เนื่องจากชื่อของเขาออกเสียงง่ายกว่า ทั้งสองคนเริ่มทำงานในโรงรถที่ไม่มีเครื่องทำความร้อน โดยตั้งเป้าหมายการออกแบบให้เป็นลำโพงซึ่งจะผสมผสานเสียงที่โปร่งสบาย และคมชัดในแนววิถีการออกแบบสไตล์ยุโรปเข้ากับเสียงเบสที่หนักแน่นในแบบฉบับสไตล์อเมริกันอันทรงพลัง

Matthew Polk รับหน้าที่ออกแบบระบบลำโพง ส่วน George Klopfer รับผิดชอบการสร้างตัวตู้ และยังเป็นผู้ออกแบบโลโก้สำหรับ Polk Audio อีกด้วย ซึ่งต่อมา Sandy Gross ก็เข้ามาเป็นพันธมิตรใหม่ โดยรับภาระในการจัดการตลาดของ Polk Audio สืบเนื่องจากสัญญาแรกเริ่มของ Polk Audio คือ การสร้างลำโพงสำหรับใช้งานในร้านเครื่องเสียงใน Washington, D.C  ทว่าภายหลังคำสั่งนั้นถูกยกเลิก ทำให้ Polk Audio เหลือสินค้าคงค้างที่ขายไม่ออก ส่งผลให้พวกเขาต้องทำการตลาดด้วยตัวเอง ซึ่งด้วยความช่วยเหลือจาก Sandy Gross พวกเขาได้ร่วมกันออกแบบตัวตู้ใหม่ และจัดการค้นหาผู้ซื้อสำหรับสินค้าของ Polk Audio ได้สำเร็จ ระบบลำโพงใหม่ของบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้บริโภคและนักวิจารณ์ และภายในระยะเวลาอันสั้น หุ้นส่วนทั้งสามก็สามารถย้ายการดำเนินงานของบริษัทไปยังบ้านสไตล์วิคตอเรียนหลังใหญ่ใน Govans, Maryland และด้วยฝีมือของ Gross ได้ช่วยสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของ Polk ไปทั่วโลก

ในปี 1976 Polk Audio ซึ่งมีพนักงาน 12 คน ได้รับเงินกู้จำนวน 75,000 ดอลลาร์จากการบริหารธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐฯ เพื่อช่วยเพิ่มการผลิต และรายรับเพิ่มขึ้นสี่เท่าในปี 1977 เป็นกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยเงินกู้ SBA เพิ่มเติมอีกสองรายการ รายรับต่อปีแตะ 3.6 ล้านดอลลาร์ในปี 1980 และยังได้เพิ่มพนักงานอีกมากกว่า 100 คน และผลิตลำโพงได้มากกว่า 1,000 ตู้ต่อสัปดาห์ …วัดจากความสำเร็จ Polk Audio ได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในรายชื่อ 100 บริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกาของ Inc. magazine

ก้าวสู่สาธารณะ

การเติบโตของ Polk Audio ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1980 การออกแบบลำโพงที่ได้รับการปรับปรุงอยู่ตลอดได้รับการ “บอกต่อ” อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายประจำปีของบริษัทสูงถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 1986 ณ เวลานั้น Polk Audio มีพนักงานมากกว่า 200 คน และกำลังผลิตลำโพงที่โรงงานขนาด 68,000 ตารางฟุตในบัลติมอร์ การขายเครื่องเล่นแผ่นซีดีมีส่วนทำให้เกิดตลาดอุปกรณ์เครื่องเสียงสำหรับใช้ภายในบ้านที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้ Polk Audio แสวงหาเงินทุนที่จะทำการขยายกำลังการผลิต จึงได้ทำการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 700,000 หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในช่วงฤดูร้อนปี 1986 และปีถัดมา ผู้ถือหุ้นของ Polk Audio ได้โหวตเพื่อทำการ reincorporate บริษัทในเดลาแวร์ และได้ทำข้อตกลงในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Polk Audio ในญี่ปุ่นด้วย

ลำโพง Polk Audio ในระดับ top-of-the-line โด่งดังอย่างมากกับสิ่งที่เรียกว่า Stereo Dimension Array (SDA) ซึ่งนับเป็นระบบอันซับซ้อนในการส่งสำเนาสัญญาณเสียงด้านซ้ายและขวาไปยังลำโพงที่อยู่ตรงข้ามกันในระดับเสียงที่เบาลง และถูกหน่วงเวลาให้ช้าลงเล็กน้อย ส่งผลให้ลำโพงของ Polk Audio สามารถ ‘หักล้าง’ เสียงที่ “ข้ามช่อง” จากลำโพงแต่ละตัวส่งไปถึงหูแต่ละข้างตรงข้ามกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลต่อการรับรู้สภาพเสียงสเตอริโอโฟนิกที่กว้างขวางยิ่งกว่าธรรมดา ซึ่ง Polk Audio ได้ใช้การออกแบบนี้กับรุ่น SDA-SRS-2 มีราคาอยู่ที่ 1,990 ดอลลาร์ต่อคู่ ซึ่งมีความสูง 50 นิ้ว และกว้าง 20 นิ้ว

ปลายทศวรรษ 1980, Sanford Gross ได้ลาออกจากบริษัท พร้อมกับขายหุ้นในสัดส่วนการถือหุ้น 15 เปอร์เซ็นต์ของตัวเขา ในปี 1988 โรงงานผลิตบางแห่งได้ย้ายไปอยู่ที่โรงงานในเมือง Tijuana ประเทศเม็กซิโก ผ่านข้อตกลงการรับเหมาช่วงกับ Cal-Pacifico, Inc. ภายในสิ้นปีงบประมาณ 1990 บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 27.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไร 1.9 ล้านดอลลาร์

ในเวลานี้ Polk Audio เริ่มเจรจาเพื่อขอซื้อ AGI Ltd. ของอังกฤษ ทั้งนี้ AGI Ltd. นับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ผลิตลำโพง KEF Electronics และผู้ผลิตส่วนประกอบเสียง Boothroyd-Stuart, Ltd. โดยข้อตกลงดังกล่าวคาดว่า จะเปิดโอกาสทางการตลาดของ Polk Audio ในยุโรปได้อย่างมาก และยังจะเพิ่มขนาดของบริษัทเป็นสองเท่าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเจรจาดำเนินไปอย่างช้าๆ และหลังจากที่ Polk Audio ได้ลงทุนไป 3.4 ล้านดอลลาร์ในช่วงเริ่มต้นของข้อตกลง สิ่งต่างๆ ก็เริ่มแย่ลงสำหรับ AGI Ltd. ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิของปี 1992 การควบรวมกิจการได้ยุติลงหลังจากที่ AGI Ltd. ถูกขัดขวางโดยผู้ให้กู้รายใหญ่ ทำให้ Polk Audio สูญเสียเงินไป 800,000 ดอลลาร์ในข้อตกลงนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมจากกฎหมายล้มละลายของอังกฤษอันเข้มงวด ต่อจากนั้น Peter Gaskarth อดีตหัวหน้า AGI Ltd. ได้รับการว่าจ้างให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Polk Audio ในยุโรป

ทว่าการเติบโตต่อยอดขายของ Polk Audio ได้ชะลอตัวลงในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยรายได้สำหรับปี 1992 ลดลงเหลือ 321,000 ดอลลาร์ ด้วยความที่ตลาดลำโพงมีการแข่งขันกันมากขึ้น และการลดราคาและอัตรากำไรส่งผลให้รายรับลดลง อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีจากสาธารณชน โดยมีการเปิดตัวโมเดลใหม่ที่ประสบความสำเร็จหลายรุ่น รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ลำโพงสำหรับวางขาตั้ง หรือ bookshelf speakers ที่มีราคาไม่แพงนัก

ย้ายฐานการผลิตไปยังเม็กซิโก

ในปี 1995, Polk Audio ประกาศว่า จะย้ายการผลิตส่วนใหญ่ไปยัง Tijuana โดยเหลือเพียงการประกอบลำโพงระดับไฮเอนด์ในบัลติมอร์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ถูกประกอบขึ้นที่นั่นจากส่วนประกอบที่ผลิตขึ้นส่วนใหญ่ในเม็กซิโก เพื่อการประหยัดจากการจ่ายค่าจ้างที่ต่ำกว่าค่าจ้างในสหรัฐอเมริกาเจ็ดถึงแปดเท่า ทว่าศูนย์กระจายสินค้ายังตั้งอยู่ในซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย จากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ต้องเลิกจ้างงาน 34 ตำแหน่งในบัลติมอร์ แม้ว่าจะยังมีงานด้านการบริหารและวิศวกรรมอีกกว่า 100 ตำแหน่ง

ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เฟื่องฟูอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้เองที่ตลาดใหม่เริ่มมีแนวโน้มกำลังพัฒนาสำหรับ Polk Audio ในด้านอุปกรณ์โฮมเธียเตอร์ ซึ่งด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของระบบโทรทัศน์และการเล่นวิดีโออย่างแพร่หลาย ตลาดสำหรับลำโพงที่สามารถจำลองเสียงของซาวด์แทร็กภาพยนตร์ Dolby Stereo ในบ้านได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับบริษัท และแล้วฤดูใบไม้ผลิของปี 1995, Polk Audio ได้เปิดตัว Signature Reference Theater (SRT) system ทั้งนี้บริษัทยังได้ผลิตลำโพงสำหรับใช้ในรถยนต์ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา

ในเดือนมิถุนายนปี1995, Polk ได้ประกาศการก่อตั้งบริษัทในเครือ Eosone, Inc. โดยที่ Eosone จะผลิตลำโพงโฮมเธียเตอร์เพื่อจำหน่ายเฉพาะในเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ลดราคา Best Buy จำนวน 213 แห่งเท่านั้น ลำโพงดังกล่าวจะได้รับการออกแบบโดยบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองเวล (Vail) รัฐโคโลราโด ชื่อว่า Genesis Technologies, Inc. นอกจากนี้ Polk ยังประกาศขยายการผลิตใน Tijuana ด้วยการเปิดโรงงานตู้ลำโพงแห่งใหม่มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ

เข้าสู่การปรับโครงสร้างใหม่

หลังจากผ่านการตรวจสอบโดยที่ปรึกษาภายนอกแล้ว บริษัทก็ได้ดำเนินการเพื่อจัดโครงสร้างการดำเนินงานอย่างเป็นทางการมากยิ่งขึ้น James Herd ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงมาเป็นเวลา 4 ปี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านประธาน (president) ในขณะที่ Matthew Polk ยังคงดำรงตำแหน่ง chairman ต่อไป และ George Klopfer ก็ยังคงรับหน้าที่เป็น Chief Executive ทั้งนี้บริษัทยังถูกแบ่งออกเป็นหน่วยปฏิบัติการ 4 หน่วย ซึ่งประกอบด้วย Polk Home Entertainment Products, Polk Automotive Products, Eosone International และ Polk Manufacturing ซึ่ง Polk Manufacturing ยังรวมเอากิจกรรมการผลิตและการออกแบบเอาไว้ด้วย

หุ้นของ Polk ไม่เคยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก และในเดือนมิถุนายนปี 1996 บริษัทได้ย้ายรายชื่อจาก NASDAQ ไปยัง American Stock Exchange (AMEX) เพื่อพยายามเพิ่มความน่าสนใจ โดย Polk ยังได้ว่าจ้าง The Levin Group เพื่อช่วยโปรโมตหุ้น ซึ่งในช่วงต้นปี 1997 กิจกรรมการปรับโครงสร้างเพิ่มเติมก็บังเกิดขึ้น และพนักงานในพื้นที่บัลติมอร์ 16 คนถูกเลิกจ้างเมื่อมีการย้ายคลังสินค้าและการบริการไปยังซานดิเอโก งานด้านการผลิตล่าสุดซึ่งเกี่ยวข้องกับลำโพงซีรีส์ SRT ก็ถูกย้ายไปที่ Tijuana ด้วย

แม้ว่าบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงใหม่เพื่ออนุญาตการออกแบบสำหรับใช้ในคอมพิวเตอร์ Hewlett-Packard และโทรทัศน์ Samsung ผลกำไรของบริษัทก็เริ่มลดลงอีกครั้งในปี 1997 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ที่ล่าช้าและการ ‘จำหน่าย’ ผลิตภัณฑ์ Polk โดย Best Buy และร้านค้าปลีกอื่นๆ ซึ่งในเดือนธันวาคม มีการประกาศข้อตกลงใหม่ครั้งสำคัญกับ Circuit City ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อขายลำโพงบ้านและลำโพงรถยนต์ของ Polk ในเครือข่ายร้านค้าเกือบ 550 แห่ง

ผลิตภัณฑ์ Polk ยังถูกจำหน่ายอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ โดยแบรนด์ Polk นี้มีจำหน่ายแล้วใน 50 ประเทศ ในเวลาเดียวกัน Polk ประกาศข้อตกลงเพื่อซื้อ Genesis Technologies ของโคโลราโด มีการลงทุนเริ่มแรกจำนวน 500,000 เหรียญสหรัฐ โดยมีตัวเลือกในการซื้อส่วนที่เหลือของบริษัทในระยะเวลาสามปี “Genesis Technologies” เป็นผู้ผลิตลำโพงระดับไฮเอนด์ที่สูงกว่า Polk โดยบางรุ่นมีราคาสูงถึง 90,000 ดอลลาร์ต่อซิสเต็ม

ด้วยยอดขายที่ตกต่ำซึ่งยังคงเป็นปัญหา ในปี 1998, Polk ก็ได้ประกาศว่า ได้ขายชื่อแบรนด์ Eosone และความสนใจใน Genesis Technologies ให้กับ The Providers, Inc. ของ Vail รัฐโคโลราโด

กลับสู่การเป็นเอกชน

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1999 ฝ่ายบริหารจัดการของ Polk ได้ก้าวไปอีกขั้นสำคัญเพื่อแก้ไขความเป็นไปของบริษัท ความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกเขาในการเพิ่มความสนใจในหุ้นต่อหมู่นักลงทุนไม่ได้บังเกิดผล และคณะกรรมการของบริษัทอนุมัติการซื้อหุ้นเต็มจำนวน โดยการซื้อขาย AMEX ได้หยุดชะงักลงในเดือนพฤษภาคม ความพยายามที่จะหาผู้ซื้อจากภายนอกสำหรับบริษัทก่อนหน้านี้ไม่ประสบผลสำเร็จ Polk คาดว่าจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายแสนเหรียญต่อปีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในฐานะบริษัทมหาชน และยังได้รับความเป็นส่วนตัวมากขึ้นสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในเหตุผลหลักสำหรับการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์

Polk ที่กลับมาเป็นบริษัทเอกชนในขณะนี้ ยังคงได้รับคำแนะนำจากผู้ก่อตั้ง ซึ่งดูเหมือนว่า จะสามารถแก้ไขปัญหามากมายที่สร้างความยุ่งยากให้กับบริษัทในช่วงทศวรรษ 1990 และเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษที่ 3 ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท Polk ยังคงดำเนินการตามเป้าหมายเดิมในการผลิตลำโพงคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม…

…หลังจากใช้เวลาช่วงสั้นๆ ไปกับแวดวงมืออาชีพเมื่อครั้งแรกเริ่ม Polk Audio ได้หันมาสนใจแวดวงลำโพงบ้านที่มีประสิทธิภาพสูงราคาไม่แพง ซึ่งได้ทำให้ Polk Audio ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกจากการเปิดตัวรุ่น Monitor 7 ในปี 1974 ส่งผลให้ Polk Audio ได้รับการยอมรับในแวดวงออดิโอไฟล์ Polk Audio จึงใช้การกำหนดค่าระบบลำโพงแบบ 2-ทางกับลำโพงเกือบทั้งหมด เช่น Monitor 10 และ Monitor 12 ซึ่งก็ได้รับความนิยม ทั้งนี้ Polk Audio มักจะใช้ตัวขับเสียงกลาง/เบสขนาด 6.5 นิ้วที่มีขอบรอบตัวกรวยทำจากยาง (rubber surround) ทำงานร่วมกับพาสซีฟเรดิเอเตอร์ที่ทำให้มีการตอบสนองเสียงเบสลงไปได้ถึง 18 Hz

ลำโพงรุ่นต่อมาของ Polk Audio ซึ่งสร้างความโด่งดังได้ปรับเปลี่ยนมาใช้เป็นลักษณะการจัดเรียงไดรเวอร์หลายตัว (arrays of drivers) เพื่อสร้างหลักการ Stereo Dimensional Array (SDA) ด้วยการหักล้างอาการรั่วข้ามช่อง (crosstalk) ของเสียงจากลำโพงซ้ายไปสู่หูขวา และจากลำโพงขวาไปสู่หูซ้าย ส่งผลต่อการยืดขยาย (expand) จินตภาพสเตอริโอได้แผ่กว้างเกินช่องว่างระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง “SDA” ยังคงถูกใช้ในลำโพงบางรุ่นของ Polk ณ ปัจจุบัน

ในปี 2004, Directed Electronics Inc. ได้ถือครอง Definitive Technology® และเปิดตัวสู่สาธารณะในปี 2005 ถัดมาในปี 2005 ก็ได้เข้าซื้อกิจการ Polk Audio® ซึ่งในช่วงเดียวกัน บริษัทยังได้เข้าซื้อกิจการอย่างเช่น Astroflex®, Autostart®, Directed Canada และ XPRESSKIT® ต่อการตอบสนองในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ “Directed Electronics” ได้นำโครงสร้างบริษัทโฮลดิ้งมาใช้ในปี 2008 และเปลี่ยนชื่อบริษัทแม่เป็น DEI Holdings, Inc. (ในปี 2011, DEI Holdings, Inc. ถูกซื้อกิจการโดย Charlesbank Capital Partners) ในช่วงต้นปี 2015 งานที่ไม่ใช่ด้านเทคนิคของ Polk Audio ส่วนใหญ่ แทบจะทั้งหมดถูกย้ายจากสำนักงานบัลติมอร์ไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทแม่ ‘Sound United’ ในเมือง Carlsbad, California ซึ่งทำให้วิศวกรของ Polk ในเวลานั้น ได้เข้าร่วมกับทาง Definitive Technology และแล้ว Audio and Acoustics Research and Development [ARAD] ก็ได้ก่อตั้งขึ้นใน Owings Mills โดยที่ ARAD ยังคงเป็นศูนย์กลางสำหรับการพัฒนาลำโพงส่วนใหญ่โดย Sound United ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Bowers & Wilkins, Classé Audio, Definitive Technology, Denon และ Marantz