Test Report: MAGNET MEDUSA ULTRA RESOLUTION HOME THEATER AMPLIFIER

0

Test Report: MAGNET MEDUSA

ULTRA RESOLUTION HOME THEATER AMPLIFIER

หัสคุณ

P1080887

            ในปัจจุบัน ถ้าคุณคิดที่จะซื้อเครื่องเสียงสักชุดเพื่อฟังเพลง คุณจะพบว่ามีเครื่องเสียงมากมายหลายแบรนด์ ในระดับราคาตั้งแต่หลักพัน จนขึ้นไปถึงหลักล้าน นับว่ามีตัวเลือกที่มากมายจนนับแทบไม่ถ้วน แต่ถ้าลองหันกลับมาดูว่าแล้ว ถ้าเป็นเครื่องเสียงที่ผลิตขึ้นโดยฝีมือของคนไทยละ เมื่อได้ลองสำรวจดูแล้วกลับพบว่าน่าจะมีจำนวนที่ไม่มากนักเรียกว่าพอจะนับนิ้วกันได้เลย ถ้าลองนั่งลงแล้วพินิจพิเคราะห์ดูก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าแปลก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ถ้าจะนับย้อนหลังกลับไปสักประมาณ 20 ถึง 30 ปีนี้ จะพบว่ามีเครื่องเสียงที่ผลิตขึ้นโดยฝีมือของคนไทยอยู่หลายเจ้าด้วยกัน (ไล่เรียงตามตัวอักษรนะครับ )ไม่ว่าจะเป็น BT PHENIX , CDE (CLASSICAL DESIGN AND ENGINEERING), FIRST POPULAR , FACTOR , GRANITE , MAGNET (บ.ดับเบิ้ล-บี จก.) , MODIFY , POEM , RPG (บ.รวมประเสริฐ จก.), SAC (บ.แหลมทองอีเล็คโทรนิคส์ จก.), TANIN (บ.ธานินทร์อุตสาหกรรม จก.),TAS (THAILAND AUDIO SPECTRUM), TS. AUDIO, TULA (บ.ตุลา จก.) , VCL และ XAV (ออดิโอคอนซัลแตนท์ จก.) เท่านี่พอจะนึกได้ ก็มีไม่น้อยกว่า 10 รายขึ้นไป ถึงแม้จะไม่มากมายนักเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนของผู้ผลิตในต่างประเทศ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือในปัจจุบัน สำหรับรายที่ยังสามารถยืนหยัด อยู่ยั้ง และยืนยงมาจนถึง ณ ขณะนี้ได้นั้น กลับเหลืออยู่เพียงน้อยรายจริงๆ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบนเส้นทางเดินของผู้ผลิตเครื่องเสียงไทยนั้น มิได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับเต็มไปด้วยขวากหนามที่แหลมคม และรกทึบ โดยเฉพาะกับค่านิยมที่เป็นปัญหาใหญ่ เปรียบได้ดั่งกับปราการเหล็กที่แข็งแกร่งจนยากที่จะทลายได้ คนไทยยังยึดติดกับความเชื่อ และค่านิยมที่ว่าฝรั่งมังค่านั้นมีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด และความสามารถที่เก่งกว่า คนในเอเชีย ดังนั้นเครื่องเสียงต่างประเทศจึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า เครื่องเสียงในบ้านเรา อีกส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากความเชื่อที่ถูกชี้นำโดย นักฟัง-นักวิจารณ์ รวมทั้งนักทดสอบเครื่องเสียงนิตยสารต่างประเทศที่มักจะมีการเปรียบเทียบ พร้อมกับแบ่งระดับชั้นของเครื่องเสียงต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน และมีความน่าเชื่อถือ ทำให้นักเล่นในบ้านเรามักจะนิยมเล่นเครื่องตามที่ผู้รู้หรือ ‘กูรู’ (GURU) เหล่านั้นเขายกย่องหรือกล่าวขวัญถึงกัน เพราะถ้าเล่นเครื่องเสียงกันตามที่ได้รับการยกย่องหรือจัดอันดับ โอกาสที่จะพลาดนั้นเป็นไม่มี อีกทั้งยังนำมาคุยโม้ และโอ้อวดกันได้เพราะได้รับการรับรองจากบทความของนักวิจารณ์ชื่อดังมาเป็นอย่างดี

สำหรับผู้ผลิตคนไทยนั้น ผมเข้าใจเอาเองหลังจากที่ได้เคยพูดคุยกับบางรายว่า ส่วนใหญ่ จะก้าวเท้าเข้ามาบนหนทางเส้นนี้ ด้วยความชอบ และใจรัก มากกว่าจะหวังร่ำรวย ส่วนหนึ่งก็คิด และเชื่อว่าคนไทยเราเองนั้นก็มี ความสามารถ และอยากจะแสดงให้เห็นว่าฝีมือของคนไทยนั้นก็มีคุณภาพมากพอที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากนักเล่น และผู้ที่มีความสนใจได้เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ใช้ว่าทุกรายจะทำได้สำเร็จดังใจหวัง การลงทุนทางด้านธุรกิจเครื่องเสียงยังเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการขาดทุนอย่างมาก หลายๆ คนจึงล่าถอย และถอนตัวออกไปจากเส้นทางระดับ ‘ปราบเซียน’ สายนี้อย่างเจ็บปวด

MAGNET เป็นอีกหนึ่งเครื่องเสียงที่ผลิตขึ้นโดยฝีมือของคนไทยที่สามารถจะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ และยืนหยัดมาจน นักเล่นนักฟังในบ้านเราส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดี เครื่องเสียงของ MAGNET ถูกผลิต และจัดจำหน่ายโดย บ.ดับเบิ้ล-พี จก. โดยมีนโยบายที่จะผลิตเครื่องเสียงที่มีคุณค่าทางเสียงดนตรี มีราคาจำหน่ายที่ยุติธรรมพร้อมกับบริการหลังการขายที่ได้รับการใส่ใจเป็นอย่างดี สำหรับคีย์แมนคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังก็คือคุณพงษ์ธร มาลากุล ณ อยุธยา นั่นเอง คุณพงษ์ธร มีประสบการณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์มาอย่างยาวนาน เริ่มจากงานชิ้นแรก คือการออกแบบเครื่องเสียงในรัฐสภาให้กับฟิลิปส์ ผ่านงานออกแบบบอร์ดวงจรให้กับ บ.เซอร์คอน จนถึงจุดอิ่มตัว ก็เริ่มหันมาแกะเครื่องเสียงที่ใช้เอง และเริ่มศึกษาพร้อมกับวิเคราะห์เสาะหาวงจรต่างๆ จากนั้นก็นำมาเขียน เป็นโครงงานประกอบเครื่องลงในนิตยสารเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเหล่านักศึกษาที่มีความสนใจ สามารถจะประกอบเครื่องเสียงเป็นของตนเองด้วยงบประมาณที่จำกัด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 คุณพงษ์ธร ก็ได้ก่อตั้งบริษัท ดับเบิ้ล-พี จก. ขึ้น ด้วยทุนเพียงหนึ่งแสนบาท เพื่อผลิตเครื่องเสียง และชุดคิทขึ้น ภายใต้ชื่อของ MAGNET ผลิตภัณฑ์ของ MAGNET ในตอนแรกประกอบไปด้วยปรีแอมป์ รุ่น PR-1 และ PR-3A และเพาเวอร์แอมป์ รุ่น MA-1 และ MA-200 สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวที่สร้างชื่อให้กับ MAGNET จนเป็นที่รู้จักของนักเล่นนักฟังในขณะนั้น ได้แก่ เพาเวอร์แอมป์รุ่น MA-200 ที่มีกำลังขับ 100 วัตต์ ต่อแชนแนล ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีความคุ้มค่าทั้งในแง่ของราคา และคุณภาพในระดับ ‘คับแก้ว’ MA-200 ได้รับการโหวตคะแนนจากผู้อ่านนิตยสาร WHAT HI-FI? กว่า 4000 ท่าน จนได้รับรางวัลชนะเลิศ WHAT HI-FI GRAND PRIX AWARD ปี 87-88

ชื่อเสียงของ MAGNET ไม่ได้เป็นที่รู้จัก เฉพาะแต่ในบ้านเราเท่านั้นเพราะ MAGNET เป็นแอมป์ไทยที่ได้รับการคัดเลือกจาก SUEBSMANN & LESKE ELECTRONIC COMPONENT แห่งเยอรมัน นำเอาเครื่องเสียงของ MAGNET ไปจำหน่ายในประเทศเยอรมันนี และรวมทั้งภาคพื้นยุโรปมาแล้ว ต่อมา MAGNET ได้มีโอกาสร่วมงานกับ ริชาร์ด เอ็น มาร์ช และมิสเตอร์เวอร์น สมิธ ในนามของ MARSH SOUND DESIGN ที่มีออฟฟิศอยู่ที่อเมริกา ทำงานวิจัย และค้นคว้าร่วมกัน จนผลิตเครื่องเสียงขึ้นในนามของ MARSH แอมป์รุ่นแรกของ MARSH ก็คือ MSD-400S ที่ได้สร้างปรากฏการณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงเมื่อนักวิจารณ์อย่าง โรเบิร์ด อี กรีน จากนิตยสาร THE ABSOLUTE SOUND กล่าวชมว่า MSD-400S เป็นแอมป์ที่ดีจนน่าทึ่ง และมีความคุ้มค่ามาก จนชื่อเสียงของ MARSH เป็นที่โด่งดังในระยะเวลาไม่นานนักซึ่งต่อมาเพาเวอร์แอมป์ของ MARSH ก็ยังได้รับรางวัล GOLDEN EAR AWARD ซึ่งส่งผลให้ชื่อเสียงของ MARSH เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน MAGNET เติมโตขึ้น จาก บ.ดับเบิ้ล-พี จก. กลายมาเป็น บ.แม็กเนทเทคโนโลยีส์ จก. ที่มีเงินลงทุนสูงถึงแปดล้านบาท พร้อมกับไลน์การผลิตที่ครอบคลุมทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นแอมปลิไฟเออร์ ทั้งในระบบสเตอริโอ และมัลติแชนแนล, ลำโพง, เครื่องเล่นซีดี และอุปกรณ์ควบคุมกรองไฟ เพื่อรองรับกับความต้องการของนักเล่นในระดับออดิโอไฟล์ MAGNET ยังคงยึดมั่นในปรัชญาที่สำคัญ นั่นคือ ความมุ่งมั่นที่จะผลิตเครื่องเสียงให้ดีที่สุด ในราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เปิดกว้างสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการผลิตเครื่องเสียงอย่างประณีต พิถีพิถัน พร้อมกับเน้นการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างสูงสุด

P1080912

MEDUSA

เมื่อพูดถึงเพาเวอร์แอมป์สำหรับระบบมัลติแชนแนล ในโฮมเธียเตอร์แล้ว MEDUSA ไม่ใช่ผลงานชิ้นแรกจากทาง MAGNET เพราะย้อนหลังไปประมาณสัก 10 ปีที่แล้ว MAGNET เคยนำเสนอเพาเวอร์แอมป์สำหรับระบบมัลติแชนแนลตัวแรกก็คือ MAGNET รุ่น MA-312 ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์แบบ 3 แชนแนล ที่มีกำลังขับอยู่ที่ 120 วัตต์ ต่อแชนแนล จากนั้นอีกไม่นานก็มี MAGNET MA-510 ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์แบบ 5 แชนแนล ที่มีกำลังขับที่ 100 วัตต์ ต่อแชนแนล เพื่อตอบสนอง และเติมเต็มต่อความต้องการของนักเล่นโฮมเธียเตอร์ ต่อมาทาง MAGNET ก็ได้ปรับปรุง MA-312 มาเป็น MA-312B สำหรับ MA-510 ก็ได้รับการปรับปรุงมาเป็น HAD-5100 ในเวลาต่อมา

ขณะนี้ทาง MAGNET ได้นำเสนอ MEDUSA ซึ่งถือว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์แบบ 7 แชนแนล ขนาดใหญ่ระดับ ‘เฮฟวี่เวท’ หรือใหญ่ที่สุดด้วยขนาดเครื่อง 500 x 217.5 x 538.5 มม. (กxสxล) และหนักที่สุด ด้วยน้ำหนักเครื่องถึง 59.50 กก. สำหรับเพาเวอร์แอมป์แบบ ‘มัลติแชนแนล’ เท่าที่ทาง MAGNET ได้เคยออกแบบมา เพื่อนำไปใช้ในระบบโฮมเธียเตอร์ กับชื่อ ‘เมดูซ่า’ (MEDUSA) ก็นับว่าสร้างความน่าเกรงขามได้อย่างน่าสนใจโดยที่ไม่ทันต้องเห็นตัว จริงๆ แล้ว เมดูซ่า นั้นเป็นชื่อของหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงามมากในตำนานของกรีก เธอเป็นธิดาของเทพแห่งท้องทะเลที่มีชื่อว่า ฟอซิส และนางซีโด มีศักดิ์เป็นถึงหลานของเทพีไกอา และเทพพอนทัส แต่ด้วยชะตากรรมที่แสนรันทดเธอถูกสาปโดยเทพีอธีนา ให้กลายมาเป็นหญิงอัปลักษณ์ ที่มีผมเป็นงูและมีดวงตาทรงอำนาจ เมื่อสบตาผู้ใดเข้า ผู้นั้นก็จะกลายเป็นหินในทันที ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังมีฝีมือในการยิงธนูที่แม่นยำ และเฉียบคมอย่างร้ายกาจ ส่วนร่างกายนั้น ครึ่งบนก็จะมีลักษณะเหมือนคน แต่ครึ่งท่อนล่างจะเป็นงู

ถึงแม้ ‘เมดูซ่า’ จะเป็นสัญญาณลักษณ์ของความน่าเกรงขาม และความน่าสะพรึงกลัวก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่ง ‘เมดูซ่า’ ก็มีความสวยงามอยู่ด้วยเช่นกัน เปรียบเสมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน กล่าวคือด้วยคำว่า เมดูซ่า นั้น ถือว่าเป็นคำที่มีมานานมากแล้ว และยังคงไว้เป็นรากศัพท์ในอีกหลายๆ ภาษาโบราณด้วยกัน เช่น รากศัพท์ของ เมดูซ่า ในภาษาสันสกฤต ก็คือคำว่า ‘เมธา’ ซึ่งหมายถึง ผู้ปราดเปรื่อง ในภาษากรีกนั้น ก็มีรากศัพท์มาจากคำว่า METIS หรือก็คือเทพแห่งปัญญา และในภาษาอียิปต์โบราณ ก็มาจากคำว่า MET หรือ MAAT ซึ่งแปลว่า เทพแห่งความสามัคคี นั่นเอง

เรากลับมาว่ากันถึงเพาเวอร์แอมป์ MEDUSA กันดีกว่า ถ้าจะว่ากันถึงรูปลักษณ์แล้ว MEDUSA ถูกออกแบบมาด้วยหน้าตาที่เรียบง่าย แผงหน้าขึ้นรูปจากอะลูมิเนียมที่มีความหนาถึง 20 มม. ที่มุมซ้ายด้านบนจะมีโลโก้ของ MAGNET ที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัด ส่วนที่มุมซ้ายล่างก็จะเป็นสวิตช์ เปิด/ปิด ที่วางตัวอยู่ในร่องที่ถูกเซาะเป็นแนวยาวไปจนสุดทางด้านขวา สำหรับไฟ LED แสดงสถานะการทำงานของเครื่องจะเป็นไฟสีฟ้าและจะส่องสว่างมากขึ้นเมื่ออยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน ที่แผงหน้าจะมีการลบเหลี่ยมมุมโดยรอบ โดยเฉพาะที่ด้านข้างทางซ้าย และขวาก็จะมีการเซาะร่องตั้งแต่ด้านบนลงมายาวเกือบถึง 3 ใน 4 ส่วน จึงทำให้ MEDUSA ดูนุ่มนวลขึ้น ลดความแข็งทื่อของความเป็นเหลี่ยมลงไปได้ดี สำหรับฝาครอบด้านบนนั้นเป็นเหล็กหนาประมาณ 1.5 มม. ในขณะที่ฐานล่างของตัวถังนั้นมีความหนาประมาณ 3 มม.

ที่แผงด้านหลัง ทางด้านซ้าย จะมีชุด DC REMOTE IN และ DC REMOTE OUT เพื่อใช้ต่อเป็นตัวรับ และตัวส่งสัญญาณเพื่อทำการเปิด/ปิด เครื่องจากเครื่องอีกเครื่องหนึ่งที่ใช้งานร่วมกัน เพื่อมาเปิดหรือเปิดเครื่อง MEDUSA ส่วนด้านล่างจะเป็นช่องต่อปลั๊กไฟ IEC แบบ 3 ขา สามารถถอดเปลี่ยนสาย AC ได้ MEDUSA จะมีอินพุททั้งแบบ RCA เคลือบทอง และแบบ BALANCED XLR มาให้ครบทั้ง 7 แชนแนล โดยมีสวิตช์แบบ SELECTOR INPUT เป็นตัวเลือกแบบของสัญญาณอินพุท สำหรับขั้วต่อลำโพงเป็นแบบไบดิ้งโพสต์แบบชุบทองขนาดใหญ่ สามารถรองรับสายลำโพงทั้งแบบ สายเปลือย,แบบก้มปู( SPRADE)และแบบบานาน่าแจ็คได้อย่างสะดวก ตัวขั้วต่อนั้นสามารถจับขันได้ถนัดมือ สร้างความมั่นใจในการเชื่อมต่อสายลำโพงได้ดี

ภายใน MEDUSA มีการใช้ทรานสฟอร์เมอร์แบบเทอรอยด์ขนาดใหญ่ถึง 3 ลูก ด้วยกัน เป็นขนาด 708 VA จำนวน 2 ลูก และขนาด 1062 VA อีก 1 ลูก ตัวหม้อแปลงถูกออกแบบให้มีการแยกขด ขาออกหรือขดแบบ SECONDARY แต่ละขดออกเป็นอิสระจากกันเพื่อลดผลของการรบกวนแบบ INTER-CHANNEL CROSS-TALK CAPACITOR FILLER ภาคเพาเวอร์แอมป์ ถูกแยกออกเป็นอิสระแบบ ‘โมดูล’มี 7 ชุด ด้วยกัน สำหรับการควบคุม และสั่งงานรวมทั้งระบบ SOFT START จะเป็นระบบไมโครคอลโทเลอร์แยกแผงวงจรไว้เป็นอิสระอีก 1 ชุด

ในแต่ละโมดูลจะใช้ คาปาซิเตอร์ฟิลเตอร์ขนาด 5600 UF 100 V ของ ELNA จำนวน 1 คู่ ต่อ 1 โมดูล มีการ BI-CAP ด้วยคาปาซิเตอร์คุณภาพสูงชนิด POLY PROPYLENE FILM เพื่อลดผลของค่าความต้านทานอนุกรมภายในของตัวเก็บประจุ EQUIVALENT SERIES RESISTANCE (ESR) ให้เหลือน้อยที่สุด ในภาคอินพุทจะใช้อ็อปแอมป์ของ BURR-BROWN INA 134 ทำหน้าที่เป็น AUDIO DIFFERENTIAL LINE RECEIVERS จากนั้นสัญญาณจึงถูกส่งต่อไปยังอ็อปแอมป์ของ BURR-BROWN OPA 27 ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นภาค OPERATIONAL AMPLIFIERS สำหรับในภาคเอาท์พุทจะใช้ทรานซิสเตอร์แบบไบโพล่าร์ของ TOSHIBA 25C 5200 และ 25A 1943 จำนวน 3 คู่ ด้วยกัน MEDUSA จึงมีกำลังขับอยู่ที่แชนแนลละ 250 วัตต์ ที่ 6 โอห์ม และที่ 200 วัตต์ ต่อแชนแนลที่โหลด 8 โอห์ม ภาคขยายนี้ถูกออกแบบมาให้มีคุณภาพสูงบนแนวคิดแห่งเสียงที่บริสุทธิ์เพื่อตอบสนองกับทุกแนวเสียง เพื่อความสามารถในการถ่ายทอดเสียงออกมาได้อย่างเหมาะสม

อุปกรณ์ที่ใช้ได้ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคาปาซิเตอร์ของ WIMA และ ELNA รีซีสเตอร์แบบเมทัลฟิลม์ ใน MEDUSA ยังมีระบบวงจรที่สามารถป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นกับชุดภาคขยายเอาท์พุท ในกรณีที่สายลำโพงเกิดแตะ หรือช๊อตกันขึ้น โดยใน MEDUSA ได้ใช้วงจร SOA (SALF OPERATION AREA) ซึ่งช่วยลดการเสียหายโดยทำงานร่วมกับตัวไมโครคอลโทเลอร์ เมื่อเกิดสายลำโพงช๊อตกัน ระบบใน MEDUSA จะทำการปิดเครื่องเองโดยอัตโนมัติ

ใน MEDUSA ยังได้ใช้วงจร SERVO เพื่อควบคุมการเกิดแรงดัน OFFSET ที่เอาท์พุทให้มีค่าต่ำสุด และทำงานร่วมกับตัวไมโดรคอลเมื่อมี DC OUTPUT มากเกินกว่าที่วงจร DC SERVO จะสามารถควบคุมได้ วงจรไมโครคอลโทเลอร์จะทำการปิดเครื่องเองโดยอัตโนมัติ

            Medusa_rear92k

สเปคของ MEDUSA มีดังนี้

Technical Specification

ช่องสัญญาณเอาท์พุท                                     : 7 Channel

กำลังจ่ายเอาท์พุท                                            : 250 WATT(RMS) per channel @ 6 Ohm, THD : 0.002%

200 WATT(RMS) per channel @ 8 Ohm, THD : 0.001%

ความเพี้ยนฮาร์โมนิกรวม THD+Noise             : less then 0.05% @ 20-20,000 Hz

less then 0.01% @ 1 kHz

ผลตอบสนองความถี่                                         : 20-20,000 Hz (+0,-0.3 dB)

อิมพิแดนซ์ทางอินพุท                                        : 25 kOhm

 

MEDUSA_20120707152218_0

ผลการทดลองฟัง

            หลังจากที่เบิร์นอิน MEDUSA ได้ประมาณ 100 ชั่วโมง ก็นำเข้าห้องฟัง เพื่อฟังสรุปกัน ซิสเต็มที่ใช้ร่วมในการฟังประกอบด้วย

ชุดโฮมเธียเตอร์

BLU-RAY PLAYER : PANASONIC DMP-BD 85

ปรีแอมป์                       : NAD 1020

: ROTEL RC-970BX

: XAV XAMP 30i

ลำโพงคู่หน้า                  : XAV PATRIOT SE

ลำโพงเซ็นเตอร์             : XAV SL-5C

ลำโพงเซอราวด์             : XAV DP-130

ลำโพงซับวูฟเฟอร์          : XAV V.12 TURBO

สายนำสัญญาณ              : VAMPIRE CC1

สายลำโพง                      : VAMPIRE #826C

สาย AC                           : XAV XAC#2, 5

FUSE                              : MUSIC MUSE V2

 

 

ชุดฟังเพลง

เครื่องเล่นซีดี                 : MARANTC CD17 (CLOCK II)

ปรีแอมป์                         : ADCOM GFP 750

ลำโพง                            : XAV PATRIOT SE

ขาตั้ง                               : STAND DESIGN

สายสัญญาณ                   : VAMPIRE AI-II (RCA, BALANCED XLR)

สายลำโพง                      : VAMPIRE ST-II

สาย AC                           : XAC # 5

ฟิวส์                                 : MUSIC MUSE V2

ห้องฟังขนาด 4 x 8 เมตร ได้รับการปรับแต่งอะคูสติกมาอย่างดี

ในการใช้งาน MEDUSA มีบางครั้งที่กดสวิตช์เปิด/ปิดแล้ว ระบบคอลโทเลอร์ ไม่ยอมตัดต่อระบบเพื่อให้ MEDUSA ทำงานตามปกติโดยเฉพาะ เมื่อใช้งาน MEDUSA ไปได้สักพักใหญ่ จนเครื่องมีความร้อนสะสมในระดับหนึ่ง แต่ระดับความร้อนของเครื่องก็ไม่ได้ร้อนมากจนผิดปกติแต่อย่างใด เข้าใจว่าระบบเซ็นเซอร์คงจะทำงานได้ฉับไว และตอบสนองด้วยการปิดเครื่องเองโดยอัตโนมัติ จนต้องทิ้งให้ MEDUSA เย็นลงประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเมื่อกดปุ่มสวิตช์เปิด/ปิด ระบบจึงจะทำงานได้ตามปกติอีกครั้ง

นักเล่นนักฟังหลายท่าน เมื่อได้เห็นขนาดของ MEDUSA คงจะอดคิด และเข้าใจไปก่อนล่วงหน้าไม่ได้ว่า MEDUSA น่าจะให้คุณภาพเสียงที่เต็มไปด้วยพละกำลังที่อัดฉีดอย่างเร่าร้อน มีความเฉียบพลันดุดัน และหนักแน่น สมกับที่มีกำลังขับถึง 200 วัตต์ ต่อแชนแนลที่โหลด 8 โอห์มเป็นแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว MEDUSA กลับไม่ได้เป็นไปตามที่หลายๆ คนคาดเดากัน เพราะสิ่งที่ MEDUSA นำเสนอได้อย่างโดดเด่นเป็นอันดับแรกก็คือ ความนุ่มนวล และความกลมกลืนโดยเฉพาะกับย่านเสียงกลางเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของ PETER CETERA ในเพลง HARD TO SAY I’M SORRY หรือจะเป็นเสียงร้องของ ANDREA BOCELLI ที่ร้องคู่กับ KATHARINE MCPHEE ในเพลง THE PRAYER ที่ MEDUSA สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าฟัง

MEDUSA ถ่ายทอดน้ำเสียงเหล่านี้ด้วยความกลมกลืน มีความนุ่มนวล และความต่อเนื่องที่ดี ถึงแม้เนื้อเสียงจะบาง และขาดมวลเสียงในย่านกลางต่ำไปบ้าง แต่น้ำเสียงก็มีความสะอาดที่มาพร้อมกับการแจกแจงรายละเอียดที่ดี MEDUSA เหมือนกับจะให้ความสำคัญกับย่านเสียงกลางเป็นหลัก จากนั้นจึงขยายอาณาบริเวณของความกลมกลืนครอบคลุมออกไปทั้งในย่านกลางสูง และกลางต่ำ ความโดดเด่นของ MEDUSA จะถูกนำเสนอออกมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความเพลิดเพลินในการฟังได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ ถูกตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องแบบดูโอของ KENNY ‘BABY-FACE’ EDMONDS และ KEVON EDMONDS ในเพลง I SWEAR หรือเสียงร้องของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี เสียงนุ่มขวัญใจผู้คนอย่าง MICHAEL BUBLE และนักร้องเพลงคันทรี เสียงหล่อย่าง BLAKE SHELTON ในเพลง HOME (HITMAN : DAVID FOSTER & FRIENDS : DTS HD)

กับภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง SAVING PRIVATE RYAN ในฉากยกพลขึ้นบกที่หาด OMAHA BEACH ที่เปิดฉากด้วยการยิงโจมตี มีลูกกระสุนปลิวว้อนฉวัดเฉวียน พร้อมกับเสียงระเบิด ที่คอนสกัดการเคลื่อนพลของทหารที่เต็มไปด้วยความกดดัน หวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน และวินาทีของชีวิตที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย MEDUSA ก็สามารถนำเสนอความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้ดี ถึงแม้ลูกขุนท่านหนึ่งจะรู้สึกว่า MEDUSA ยังขาดความเฉียบพลัน และเด็ดขาดไปบ้าง แหมถ้าได้อีกสักนิด คงจะดีกว่านี้ไม่น้อยเลย (SAVING PRIVATE RYAN : 60 TH ANNIVERSARY EDITION (DVD): DOLBY DIGITAL) สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำอีกครั้ง อย่างชัดเจนในภาพยนตร์เรื่อง BATMAN : THE DARK KNIGHT : DOLBY TRUE HD ที่ MEDUSA ดูจะเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่แสดงตนด้วยความเรียบร้อยและนุ่มนวลจนเกินงาม

สำหรับเสียงแหลมนั้น MEDUSA นำเสนอเสียงแหลมที่เรียวบาง แจกแจงรายละเอียดได้พอประมาณ ปลายเสียงแหลมทอดตัวไปได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะเก็บตัวลง (ADELE : LIVE AT THE ROYAL ALBERT HALL:DTS HD)

สมรรถนะทางด้านอิมเมจนั้น MEDUSA สามารถตรึงตำแหน่งได้นิ่งแม้อิมเมจจะขึ้นรูปได้ไม่เด่นชัดนัก การจัดวางซาวด์สเตจ ด้านกว้างจะทำได้โดดเด่นกว่าด้านลึก MEDUSA จะวางตำแหน่งของเสียงกลางให้ถอยลึก (LAID BACK) ลงไปกว่าแนวระนาบปกติ ทำให้เสียงกลางนั้นมีความลึกที่โดดเด่น ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายเป็นกันเอง การจัดวางอิมเมจของวงจะให้ความเป็นกลุ่มเป็นวงที่ดี ไม่ได้ขยายตัวหรืออาณาบริเวณออกไปให้ยิ่งใหญ่กว้างเลยลำโพงออกไป แต่มีความเป็นสัดส่วน และมีความสมดุลที่ดี

สุดท้ายได้นำ MEDUSA มาใช้งานในระบบสเตอริโอ 2 แชนแนล โดยต่อสายสัญญาณแบบ BALANCED XLR เป็นอันดับแรก MEDUSA ถ่ายทอดน้ำเสียงของ JACKIE EVANCHO ด้วยความสดใส นุ่มนวล แยกแยะรายละเอียดได้ดี พื้นเสียงมีความสงัดเงียบที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่เนื้อเสียงโดยรวม ก็ยังค่อนข้างบาง มวลเสียงในย่านกลางต่ำจะมีมวลที่ทึบเข้มกว่าย่านเสียงกลาง ในขณะที่ความสามารถในการแจกแจงรายละเอียดก็ดูจะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย (JACKIE EVANCHO : DREAM WITH ME IN CONCERT : USA) เสียงแหลมของ MEDUSA นั้นนุ่มนวลไม่หยาบหรือกระด้างแต่จะติดแห้งอยู่บ้าง เป็นเสียงแหลมที่มีรายละเอียดพอประมาณ ปลายเสียงไม่ทอดตัวออกไปไกลนัก และเก็บตัวเร็ว (OPUS 3 : LARS ERSTRAND AND FOUR BROTHERS ) จังหวะดนตรีของ MEDUSA ยังคงรักษาความนุ่มนวลไว้อย่างมั่นคง เบสต้นมีการย้ำเน้นหนักเบาอยู่บ้าง แต่เบสต่ำๆ จะค่อยๆ อ่อนน้ำหนัก และเก็บตัวเร็ว (R&R : EXOTIC DANCES FROM THE OPERA) การจัดวางซาวด์สเตจจะวางตัวในลักษณ์ที่เดินหน้า (FORWARD) เข้าหาผู้ฟังเป็นสำคัญ

ต่อมาได้สลับสับเปลี่ยนมาเป็นสายสัญญาณแบบ RCA ปรากฏว่า MEDUSA สามารถถ่ายทอดน้ำเสียงที่มีความสดใส และกระจ่างชัดขึ้น การแจกแจงรายละเอียดในย่านเสียงกลาง และเสียงแหลมทำได้ดีขึ้น น้ำเสียงโดยรวมมีความต่อเนื่อง กลมกลืนที่ดีกว่าการต่อด้วยสายแบบ BALANCED XLR ไม่น้อยเลย (CLAIR MARLO : LET IT GO) เบสต้นมีการย้ำเน้นที่ชัดเจน และจะแจ้งกว่า เบสต่ำแสดงรายละเอียดได้พอประมาณ ก่อนจะค่อยๆ เก็บตัวลง การจัดวางซาวด์สเตจนั้นจะวางรูปวง ที่ถอยลึกลงไปทางด้านหลังมากกว่า พร้อมกับการจัดวางตำแหน่งต่างๆ อย่างสมดุล และมีความลงตัวที่ดีกว่า สรุปโดยรวมว่าการต่อสายสัญญาณแบบ RCA นั้น ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า การต่อสายแบบ BALANCED XLR เกือบจะทุกกรณี ยกเว้นเพียงในเรื่องความสงัดเงียบที่การต่อแบบ BALABCED XLR นั้นทำได้ดีกว่าเท่านั้น

MEDUSA_20120707155220_1

 

สรุป

MEDUSA จาก MAGNET ถือว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์ในระบบมัลติแชนแนลที่ใหญ่ และหนักที่สุดเท่าที่ทาง MAGNET เคยทำมา โดยเทคนิคแล้ว MEDUSA ดูจะเป็นเพาเวอร์แอมป์ ที่ถึงพร้อมทั้งในแง่ของการออกแบบ และพละกำลังที่มากถึง 200 วัตต์ ต่อแชนแนล ที่โหลด 8 โอห์ม มีความใส่ใจในการออกแบบวงจรภายในอย่างพิถีพิถัน แต่เมื่อมาถึงคุณภาพเสียงแล้ว MEDUSA นับว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่สามารถถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้นุ่มนวลน่าฟัง มีความสุภาพเรียบร้อยตามแนวทางของเครื่องในระดับไฮ-เอ็นด์ จนบางครั้ง MEDUSA ก็ดูเหมือนจะขาดซึ่งความดุดัน หนักแน่นและความเด็ดขาด อย่างที่ เพาเวอร์แอมป์ในระดับไฮเอนด์พึงมีไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าทาง MAGNET สามารถที่จะปรับปรุง แก้ไขในจุดนี้ได้ MEDUSA ก็อาจจะกลายเป็นเพาเวอร์แอมป์ในระบบมัลติแชนแนลในระดับที่นักเล่นหลายๆท่านฝันถึงก็เป็นได้ครับ

ขอขอบคุณ บริษัท แม็กเนท เทคโนโลยีส์ จำกัด โทร.0-2907-7923 ที่เอื้อเฟื้อเครื่องให้ทดสอบในครั้งนี้