What HI-FI? Thailand

สัมภาษณ์ คุณภราดร ผ่องแพ้ว บิ๊กบอสของ Bangkok Acoustic

สัมภาษณ์ คุณภราดร ผ่องแพ้ว บิ๊กบอสของ Bangkok Acoustic

…กับชื่อของ Bangkok Acoustic คงเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันในแวดวงเครื่องเสียงบ้านเราอยู่พอสมควร แต่กับชื่อของ ภราดร ผ่องแพ้วผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังการดำเนินงานของ Bangkok Acoustic มาโดยตลอด อาจพูดได้ว่า มีอีกไม่น้อยที่ยังไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เขาผู้นี้นับว่า เป็นบุคลากรระดับคุณภาพ เป็นอีกหนึ่งท่านที่มีความรู้ความสามารถระดับ “เนื้อแท้” ของวงการ …คอลัมน์ “Whats Executive !” ใน What Hi-Fi ? ฉบับนี้ จึงขอนำ “ตัวตน” ของเขาคนนี้มานำเสนอ

 

What Hi-Fi ? : ช่วยเล่าถึงประวัติส่วนตัวและที่มาที่ไปก่อนที่จะมาจัดตั้ง Bangkok Acoustic ในทุกวันนี้ให้ผู้อ่านทราบสักเล็กน้อยครับ?

คุณภราดร : คงต้องย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว…ในช่วงที่ผมจบมาจากมหาวิทยาลัย พระจอมเกล้าพระนครเหนือ สาขา วิศวกรรมไฟฟ้า โดยจุดเริ่มต้นในตอนนั้นก็คือผมนั้นชอบประกอบแอมป์ลำโพงหรืออะไรต่อมิอะไรเล่นเองอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ทำขายในตอนแรก ด้วยความบังเอิญที่มีวิชาหนึ่งในตอนที่เรียนอยู่มีชื่อว่า Acoustics ผู้สอนเป็นคนเยอรมัน แต่ไม่มีคนลงเรียนเยอะเท่าไหร่นัก ตอนนั้นเองผมเป็นเด็กกิจกรรมอยู่แล้วเห็นว่าวิชานี้น่าจะไม่หนักมากเลยลองลงเรียนดู ก็เลยได้เก็บเทคนิคมาเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องการประกอบลำโพง รวมไปถึงเรื่องระบบอื่นๆ เกี่ยวกับเสียงด้วย (ชื่อวิชานี้เองเป็นที่มาที่ไปของชื่อบริษัท)

หลังจากจบมาก็ได้ไปทำงานให้กับบริษัทแห่งหนึ่งย่านเอกมัย…เคยคิดจะทำธุรกิจเองเกี่ยวกับ Signal Processing เหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านสัญญาณเสียงต่างๆ ในห้องฟัง แต่ปรากฏว่ายังตกลงกับหุ้นส่วนชาวต่างชาติไม่ได้เลยต้องหยุดไว้แค่นั้นก่อน หลังจากนั้นผมก็ได้เริ่มโละเครื่องเสียงตัวเองทิ้งเกือบทั้งหมดเหลือไว้แค่แอมป์หลอดกับลำโพงตัวสองตัวเท่านั้นหนึ่งในนั้น คือBBC รู้สึกว่าตนเองชอบแนวประมาณนี้ แต่ก็ยังให้อารมณ์ได้ไม่ครบถ้วน ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปซื้อลำโพงใหญ่มาเติมระบบอีกสักคู่เลยได้ตระเวนฟังไปทั่วเลย ไม่เว้นแม้แต่ต่างประเทศเพราะว่างานที่ทำอยู่ต้องมีการเดินทางไปคุยกับลูกค้าบ่อยๆ

ที่น่าแปลก คือผมได้ไปลองฟังชุดของเพื่อนที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นกัน ทั้ง สเปน, เยอรมัน และอังกฤษ ทุกที่กลับใช้ ATC ทั้งหมด แถมเสียงที่ให้ยังถูกใจเราอีกด้วย…เลยกะว่าจะมาซื้อที่เมืองไทยกับตัวแทนจำหน่าย ปรากฏว่าที่ไทยไม่มีคนนำเข้ายี่ห้อนี้ ในเอเชียนั้นมีแค่ สิงคโปร์ กับฮ่องกง คิดไปคิดมาไม่อยากซื้อแล้ว แต่อยากขายเองมันซะเลย ดังนั้นก็เลยเดินทางไปที่อังกฤษอีกรอบ เพื่อคุยกับบริษัท ATC เรื่องการจะเป็นตัวแทนจำหน่าย เมื่อตกลงรายละเอียดได้เสร็จสรรพ ทาง ATC ก็มีการจัดเหมือน Training Workshop ให้เราได้เลียนรู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวลำโพง ทั้งการประกอบเอย ซ่อมเอย แถมยังมีการพาเราไปที่ Studio ดังๆ ในอังกฤษอีกหลายที่ อาทิ เช่น Abbey Road และพลายวู้ด เป็นต้น ใช้เวลาหลายสัปดาห์ เช่นเดียวกัน พอกลับมาก็เลยลองวิชามาดัดแปลงห้องประชุมให้เป็นห้องฟังที่ออฟฟิศดู ก็ทำส่วนนั้นมาเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วพอดีมีคนรู้จักใน What Hi-Fi ? ทำให้ได้มีโอกาสไปออกงานเครื่องเสียงที่ทางนี้จัดขึ้น ทำให้แบรนด์ ATC เป็นที่รู้จักมากขึ้นๆ ทั้งที่ตอนแรกคนที่มาร่วมงานไม่รู้จักสินค้าแบรนด์นี้เลย พอเวลาผ่านไปจนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ก็เลยคิดว่าจะไปเรียนต่อด้าน Acoustical Engineering เพื่อรื้อฟื้นความรู้และพัฒนาไปในตัว ประจวบเหมาะกับตอนนั้นได้มีโอกาสไปที่ประเทศเยอรมันก็เลยติดต่อไปคุยกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองมิวนิค เพื่อเรียนด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็เพิ่งจะจบ Diploma ได้ใบประกาศนียบัตรมาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วนี่เอง ดังนั้นจึงตัดสินใจลาออกจากงานหลักด้านไฟฟ้าที่ทำมา 30 ปี เพราะตั้งใจจะหันเหมาทำ Bangkok Acoustic อย่างเต็มตัว…

 

What Hi-Fi ? : ในฐานะที่เป็นหัวเรือใหญ่ของ Bangkok Acoustic คุณภราดร วางแนวทางการดำเนินงานไว้อย่างไรบ้างครับ?

คุณภราดร : ก่อนหน้านี้ช่วงปีสองปีหลังผมมีสินค้าที่นำเข้ามาคือATC กับชั้นวางเครื่องของ Hi-Fi Racks จากอังกฤษ แต่ด้วยความบังเอิญที่ได้ไปรู้จักกับแอมป์ยี่ห้อหนึ่งจากประเทศ นิวซีแลนด์ ที่มีชื่อว่า Perreaux (แพโร่ว) ที่ขนาดกำลังแค่ 80 วัตต์ก็เลยได้นำเข้ามา เนื่องจากลูกค้าบางคนบอกว่า ผมชอบใช้แอมป์ตัวใหญ่ๆ ขับเสียงลำโพง ผมก็เลยลองเอาสินค้าตัวเล็กๆ ดีๆ มาลองให้เค้าดูบ้างว่า สำหรับตัวผมเองแล้ว “กำลังวัตต์ของแอมป์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นหรือตัวตัดสินว่าอะไรดีไม่ดี” ส่วนการติดต่อกับ Perreaux ก็เพราะได้ไปเดินนิทรรศการเครื่องเสียงที่เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมัน แล้วระหว่างทานข้าวได้ไปเจอกับฝรั่งคนหนึ่งก็มีการพูดคุยกันตามปกติ จนมาถึงช่วงแลกนามบัตร…กลายเป็นว่าเขาเป็นคนของบริษัท Perreaux ก็เลยได้คุยติดต่อกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่ผมทำเพิ่ม ก็คือตัวสายเคเบิลของ Kimber Kable กับ เต้ารับหัวเสียบของ WattGate ที่ทาง เค วันเดอร์ซาวด์ เป็นผู้นำเข้ามาจำหน่าย ก็มีการประกอบสายลำโพงหรือสายเอซี เพื่อทำมาร์กกิ้งบอกว่าซ้ายหรือขวา โดยตัววัสดุที่นำเข้าก็จะเป็นแบบพรีเมียมหน่อย โดยนำเข้ามาจากเยอรมัน หลังจากนี้ก็จะตกแต่งออฟฟิศของ Bangkok Acoustic ให้เสร็จเรียบร้อย เพิ่มในส่วนของห้องต่างๆ รวมไปถึงจอมอนิเตอร์ที่จะมีคลิปวิดีโอสอนและแนะนำสินค้าต่างๆ ด้วย ซึ่งในอนาคตผมวางแผนว่า จะทำคลิปลง Youtube และแปะไว้บนเว็บไซต์ต่อไป

นอกจากนี้ก็จะเพิ่มในไลน์ของ เครื่องเสียงโปรเฟสชั่นแนล ก็คือเครื่องเสียงของห้องประชุม หรือโรงมหรสพ ที่รวมไปถึงการตรวจเช็คแก้ไขปัญหาต่างๆ อีกด้วย…ก่อนหน้านี้ที่จับตลาดอยู่แล้วก็มี Studio Recording ในประเทศที่ใช้มอนิเตอร์ของ ATC แต่ที่ใหม่ที่สุดที่เราเพิ่มมาก็คือAcoustics Panels ที่เรานำเข้ามาจากโปรตุเกส หลังจากนี้ก็จะพยายามขยันไปออกงานเครื่องเสียงมากขึ้นตามแต่งบประมาณกับบรรยากาศจะอำนวยครับ

What Hi-Fi ? : แล้วนโยบายการให้บริการหลังการขายของบริษัทล่ะครับ วางแนวทางไว้เป็นอย่างไรบ้าง? เพราะบางทีเห็นว่า คุณภราดร ไปดูปัญหาให้ลูกค้าด้วยตัวเองเลยก็มีออกบ่อยไป

คุณภราดร : ส่วนมากแล้วตัวสินค้าเองมักจะไม่มีปัญหาเลยด้วยซ้ำ แต่ส่วนมากที่ลูกค้ากลับมามีแต่พูดถึงว่า ห้องที่ฟังของตัวเองท่าทางจะมีปัญหามากกว่า บางครั้งผมก็ไปให้คำปรึกษาอยู่บ้าง…ซึ่งบางคนก็กังวลเกินไปขนาดคิดว่า ตู้, โต๊ะคอมพิวเตอร์ หรือของสะสมต่างๆ จะมีปัญหากับเสียง โดยผมมองว่ามันไม่ได้ส่งผลกับเสียงเลยด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องยกออกไป แค่จัดวางให้ถูกที่ก็พอ เพราะผมมองว่า ห้องฟังเพลงมันเป็นกิจกรรมสันทนาการ ดังนั้นอะไรที่คุณรู้สึกว่ามีความสุขที่จะอยู่กับมันก็ปล่อยไปบ้างก็ได้ เนื่องจากเราไม่ได้กะจะทดสอบเอาอ้างอิงแบบ Lab Research ขนาดนั้น และก็มีลูกค้าบางเคสที่ไม่ได้ซื้อเครื่องเสียงกับ Bangkok Acoustic แต่ห้องฟังมีปัญหาก็มีติดต่อให้ผมไปแก้ไขให้บ้าง โดยส่วนมากในกลุ่มนี้จะเป็นในส่วนของพื้นผิววัสดุห้องฟังมากกว่า

ซึ่งหลายๆ คนที่รับแก้ปัญหานี้จะเลือกที่กำจัดเสียง แต่ในตัวของผมเองนั้นไม่ใช้วิธีนี้ กลับเลือกที่จะใช้วิธีควบคุมเสียงแทน เพราะผมคิดว่าเสียงที่ฟุ้งกระจายในห้องทุกเสียงนั้นมีประโยชน์ทั้งนั้น หากเราควบคุมมันได้ หลังๆ แล้วผมจะลงไปเองก็ในเคสของการทำห้องใหม่ซะมากกว่า เนื่องจากเรามีทีมที่รับผิดชอบส่วนอื่นอยู่แล้ว ถ้าหากบางเคสผมไปไม่ได้ด้วยตนเองก็มีให้ส่งรูปหรือให้ข้อมูลต่างๆ มาบ้าง เพราะว่าข้อจำกัดของเวลาที่ผมไม่สามารถดูแลลูกค้าทุกคนได้ จึงจำเป็นที่ต้องมีทางเลือกอื่นๆ แต่ให้ดีที่สุดอยากให้ลูกค้าเดินทางมาคุยกันที่ Bangkok Acoustic น่าจะดีที่สุด ไม่ซื้อไม่หา…ผมไม่ว่าอะไรเลยแม้แต่น้อยจริงๆ ยินดีให้คำปรึกษาและต้อนรับลูกค้าทุกคนด้วยความยินดีครับ

 

What Hi-Fi ? : แบบนี้ทางร้าน Bangkok Acoustic เปิดให้บริการทุกวันรึเปล่าครับ?

คุณภราดร : ปกติแล้วทางร้านจะหยุดวันอาทิตย์ และจันทร์ แต่บางครั้งบางคราวผมก็จะเข้ามาในช่วงวันหยุดบ้าง เพื่อมาเซ็ทอัพเครื่องหรือปรับปรุง โน่นนี่นั่น ไปเรื่อยเปื่อยตามประสาครับ เพราะร้านก็ยังไม่เรียบร้อยขนาดสมบูรณ์แบบ ส่วนเวลาเปิด-ปิดของร้าน ก็ช่วง 9 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็นครับ ซึ่งบางทีลูกค้าอาจจะมาถึงช้ากว่าเวลาปิดทางเราก็ยินดีจะอยู่คอยให้บริการ หากลูกค้าโทรมาแจ้งก่อนล่วงหน้าครับ

 

What Hi-Fi ? : จุดแข็งของสินค้าแต่ละแบรนด์ที่โดนใจ คุณภราดร จนตัดสินใจเลือกมาทำธุรกิจมีอะไรบ้างครับ? และแบรนด์ที่ชื่นชอบมาที่สุด คือแบรนด์ไหน?

คุณภราดร : ทุกคนมักจะมีรสนิยมในใจ หรือมีตัวเลือกอยู่บ้างอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเองนั้นชอบแบบเสียงที่มีลักษณะที่เป็นแบบ “จริงๆ สดๆ ” อีกสาเหตุหนึ่ง ก็คือผมอยากรู้ความชอบของแต่ละบุคคลว่าเป็นแบบไหนกันบ้าง และประเด็นที่สำคัญอีกหนึ่งอย่าง ก็คือแต่ละแบรนด์สินค้าที่ทำธุรกิจร่วมด้วยอยู่กันมานานและให้เกียรติซึ่งกันละกันไม่เร่งเร้า เพื่อหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ แถมสินค้าแต่ละตัวที่เลือกมานั้น ล้วนแต่คัดสรรมาอย่างดีแล้ว เรียกได้ว่า มีแต่สินค้าคุณภาพล้วนๆ ยกตัวอย่าง เช่น ATC ที่อยู่กันมา 7-8 จนทุกวันนี้เป็นที่รู้จักในไทยแล้ว จากที่แต่ก่อนไม่มีใครรู้จักเลย แล้วแบรนด์นี้เองที่เป็นแบรนด์ที่ผมชื่นชอบมากที่สุดด้านเครื่องเสียง ที่ประทับใจตั้งแต่ในส่วนของตัวบุคลากรภายในองค์กร อย่าง เช่น Billy Woodman ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ATC แม้ว่าจะเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่ให้ความรู้ผมเยอะมากเลยทีเดียว ส่วนถ้าด้านอุปกรณ์อื่นๆ คงเป็น Vcoustics จากโปรตุเกส

 

What Hi-Fi ? : หลายคงเคยสงสัยว่าทำไม คุณภราดร ไม่นำเข้าตัวสายเคเบิ้ลต่างๆ ด้วยตนเอง หรือผลิตเอง ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยครับว่าเคยมีคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?

คุณภราดร : เรื่องนำเข้าสายเองนี่ผมไม่เคยคิด เพราะว่าไม่รู้จะทำไปทำไมและเพื่ออะไร ในเมื่อตัวสินค้าซึ่งดีมากๆ นั้น มีผู้ที่ถือสิทธิ์นำเข้ามาให้เราอยู่แล้ว แถมผมยังมีความสัมพันธ์อันดีกับตัว เค วันเดอร์ซาวด์ ด้วย ทำให้สามารถตัดความคิดนั้นทิ้งไปได้เลย แต่ถ้าเป็นการผลิตสายขายเอง ผมมองว่าอาจจะเป็นไปได้…ซึ่งคงจะเป็นสายสำเร็จรูปที่ใช้ฟังเพลงในระบบดิจิตอลครับ

 

What Hi-Fi ? : มีแผนรับมือกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่ค่อยดีอย่างไรบ้างครับ? แล้วคาดการณ์สภาพคล่องในอนาคตไว้ว่าจะเป็นแบบไหนครับ?

คุณภราดร : ปีที่แล้วผมคงเอามาเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะว่าลงทุนทำออฟฟิศ แต่สำหรับปีนี้ผมคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งวงการเครื่องเสียงเป็นสินค้าที่อ่อนไหวเลยทีเดียว คงจะมีการกระเตื้องดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม ที่ผมเปิดบริษัทเกี่ยวกับเครื่องเสียงขึ้นมานั้น ไม่ได้คาดหวังว่าจะเอากำไร หรือจะทำเอารวย แค่พอเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว

 

What Hi-Fi ? : แล้วทิศทางการพัฒนาของ Bangkok Acoustic ในอนาคต จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใดครับ?

คุณภราดร : ผมคิดว่าตั้งใจจะทำให้ Bangkok Acoustic ก้าวไปทำในระดับเครื่องเสียงโปรเฟสชั่นแนลมากขึ้น เช่น ไมโครโฟน, ห้องประชุม และวิดีโอคอนเฟอเรนท์ ส่วนตลาดไฮ-ไฟ คงยังบอกอะไรมากไม่ได้ เพราะทุกวันนี้งานก็ล้นมือพอควรละครับ คงจะพยายามทำตรงนี้ให้ดีไปก่อนสัก 1-2 ปี จนเป็นที่รู้สักมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

 

 

What Hi-Fi ? : ในฐานะที่ คุณภราดร เป็นอีกหนึ่งบุคลากรในวงการเครื่องเสียงที่มีความรู้ความสามารถมากเป็นที่ยอมรับกัน เคยคิดถึงโครงการที่จะจัดขึ้นมาเพื่อแบ่งปันความรู้ และข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นแนวทางให้คนที่สนใจเกี่ยวกับความรู้ด้านนี้มาศึกษาบ้างไหมครับ?

คุณภราดร : ผมคิดไว้ว่ามี 2 แนวทาง ที่จะไปได้เร็วและตรงเป้า คือบทความในนิตยสารเครื่องเสียง กับ งานสัมมนา ที่จัดเป็นแบบ Ear Training หรือTechnical Learning โดยรวมเข้ากับการ Workshop ในรูปแบบเรียนไปด้วยเล่นไปด้วย แต่ติดอย่างเดียวสำหรับตัวผมก็คือในเรื่องของเวลาที่ไม่พอ…ทั้งๆ ที่ทุกอย่างที่เป็นความรู้ผมเขียนเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์หมดแล้ว เหลือเพียงแค่นำมาเรียบเรียงจัดหมวดหมู่เท่านั้น ซึ่งมันแตกต่างกับการบรรยายตามงานเครื่องเสียงต่างๆ ที่ผมมองว่ามีจุดบอดอยู่ในเรื่องของประเด็นที่มันปลายปิด หรือเป็นเรื่องที่เตรียมมาอยู่แล้ว บางทีบางคนเขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตามหากมีเวลาพอจัดการออฟฟิศลงตัวมีห้องประชุมคงจะจัดสัมมนาเล็กๆ ที่ออฟฟิศ เกี่ยวกับเรื่องเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์, คอมพิวเตอร์มิวสิก หรือเรื่อง Acoustics รวมไปถึงอีกหลายๆ ประเด็นที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่…

What Hi-Fi ? : Bangkok Acoustic ลงทุนทำห้องฟังขนาดนี้ ใช้งบประมาณและการทุ่มเทเวลาไปเยอะมั้ยครับ?

คุณภราดร : ลงทุนไปไม่เยอะเท่าไหร่หรอกครับ…เป็นแค่หลักแสนกว่าบาท เริ่มวางรูปแบบต่างๆ ในคอมพิวเตอร์จนได้ระดับที่เรียกว่าผ่านแล้ว ก็ใช้งบประมาณในการทำโครงไม้ขึ้นมา เอาเข้าจริงแล้ว…ผมยังคงไม่ได้ทำให้มันสมบูรณ์แบบ เพราะเดี๋ยวลูกค้าจะคิดว่า ห้องของเขาที่บ้านทำได้ไม่เท่าห้องฟังผมเลยฟังได้ไม่เพราะเท่า…ดังนั้นผมจึงทำให้ห้องนี้ได้แค่ให้ฟังเพราะเท่านั้น แต่ไม่ผ่านเกณฑ์หากจะทดสอบด้าน Acoustics และปัญหาอีกหลายๆ อย่างที่ทิ้งไว้ในห้องนี้ก็ตั้งใจจะเก็บเอาไว้แก้ปัญหาให้ลูกค้าดูเป็นตัวอย่างได้อีกด้วย ส่วนในอนาคตก็อาจจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติม แต่ก็ยังเน้นโครงสร้างง่ายๆ เผื่อมีการต่อเติมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ  สารภาพตามตรงว่าห้องที่ทำขึ้นมานี้อยู่ในขั้นดี…ไม่ถึงระดับดีเยี่ยมครับ

 

What Hi-Fi ? : มาถึงคำถามส่งท้าย…อยากทราบความคิดเห็นของ คุณภราดร เกี่ยวกับฟอร์แมทของไฟล์เพลงระหว่าง แผ่นเสียง กับ ไฟล์ High Resolution ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ครับ?

คุณภราดร : ส่วนตัวเลยนั้น…ผมเป็นคนชอบฟัง “แผ่นเสียง” แต่ต้องเลือกเพลงที่ผมรู้สึกว่าฟังแล้วเพราะ อาจจะวุ่นวายหน่อยตอนผจญภัยหาแผ่นตามร้าน ซึ่งผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เห็นแผ่นเสียงอยู่บนแท่นคอยดูมันหมุนไปเรื่อยๆ ตามร่องเสียง นั่นละคือเสน่ห์ของ “Vinyl” ที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่า “เราเห็นมันเรารู้ที่มาของมัน” ต่างจากไฟล์เพลงที่ฟังได้แต่ไม่เห็นว่าที่มาของเสียงมาจากไหน มันเหมือนกับว่าเราจับต้องมันไม่ได้

นอกจากนี้ผมยังรู้สึกมีความผูกพันกับแผ่นเสียงมากกว่า เพราะว่าสมัยก่อนคุณพ่อผมรับราชการเป็นทหารอากาศ และรับสอนเต้นรำลีลาศด้วย ผมก็เลยได้รับหน้าที่เปิดแผ่นเสียงเหมือนดีเจ ซึ่งสมัยก่อนมันมีแผ่นหลากหลายขนาดและหลายสปีดต่างจากทุกวันนี้ พอเล่นเสร็จก็นำแผ่นมาล้างตากแดดไว้ที่ต้นมะม่วงหลังบ้าน ณ ตอนนั้นก็เป็นความทรงจำที่มีความสุขดี ที่พูดมาทั้งหมดใช่ว่าทางฝั่ง ไฟล์เพลงดิจิตอลจะไม่ดีนะครับ ข้อดีของไฟล์เพลงก็คือความสะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่าย แล้วก็เสียงดีในระดับที่ผมยอมรับได้ สามารถขึ้นเครื่องใหญ่ได้แบบไม่อาย ที่สำคัญผมสามารถนำมาศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพและที่มาของไฟล์เพลงได้ด้วย แต่ถ้าเป็นไฟล์ High Resolution ผมกลับไม่ค่อยชอบเล่นมัน เพราะมองว่ามันไม่สามารถดีเทียบเท่าอะนาลอกได้ เนื่องจากเคยนำมาลองฟังเทียบกันแล้ว ยกตัวอย่าง เช่น The Eagles ชุด Hell Freeze Over ที่ผมนำมาเล่นเทียบแล้ว แผ่นเสียงที่เป็นต้นฉบับแรกนั้นคุณภาพเสียงดีกว่า ไฟล์ High Resolution ที่นำมารีมาสเตอร์เยอะเลยละครับ

What Hi-Fi ? : มีอะไรฝากบอกไปถึงลูกค้า และผู้ที่สนใจใน Bangkok Acoustic ไหมครับ

คุณภราดร : ก็เอาเป็นว่า ผมเน้นการบริการด้วยความจริงใจ รับปรึกษาเรื่องทางด้านเทคนิควิศวกรรมเครื่องเสียงและการแก้ปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้าในบ้าน ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเครื่องเสียงได้ฟรี… ด้วยหลักการที่ถูกต้องตามหลักวิชาวิศวกรรมศาสตร์สาขาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผนวกกับเครื่องเสียง ได้ที่ paradorn@bangkokacoustic.com หรือ0817556345 ในและนอกเวลาราชการครับ

 

What Hi-Fi ? : ขอบคุณมากครับ สวัสดี

Exit mobile version