รีวิว Micromega M-100 All-in-one Integrated Amplifier

0

DAWN NATHONG

        เมื่อวงการเครื่องเสียงไฮเอ็นด์หันมาให้ความสำคัญกับวงจรภาคขยายแบบคลาสดีหรือสวิทชิ่งแอมป์กันมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายประการทั้งในเรื่องขนาดที่สามารถออกแบบตัวเครื่องให้เล็กลงและมีน้ำหนักเบา ปราศจากความร้อนสะสมในขณะทำงานและบริโภคพลังงานต่ำ สามารถสร้างกำลังขับได้สูง แต่หากออกแบบไม่ดีก็อาจเกิดปัญหาโดยเฉพาะในย่านความถี่สูงทำให้เสียงเกร็งแข็งไม่น่าฟัง ในขณะเดียวกันวงจรขยายแบบคลาส AB ซึ่งนิยมใช้ในแอมป์ส่วนใหญ่มานานก็ให้คุณภาพเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดมานานแล้ว แต่ก็มีขนาดวงจรและน้ำหนักภาคจ่ายไฟที่มากกว่ารวมถึงต้องมีการจัดการเรื่องการระบายความร้อนให้ดี ทาง Micromega มองเห็นข้อดี-ข้อเสียของวงจรทั้งสองแบบและได้นำแนวคิดมาสร้างเป็นซี่รียส์ M-One ที่ดึงเอาจุดเด่นของทั้งดิจิตอลเทคโนโลยีและอนาล็อกแอมป์มาผสมผสานรวมกัน

เทคโนโลยีที่น่าสนใจ

        รุ่น M-100 ที่นำมาทดสอบในครั้งนี้มีกำลังขับอยู่ที่ 2 x 100 วัตต์ต่อเนื่องที่ 8 โอห์ม และสามารถเพิ่มกำลังขับเป็น 2 x 150 วัตต์ที่ 4 โอห์ม ในส่วนของตัวถังเครื่องนั้นสกัดจากอะลูมินัมก้อนเดียว ทำให้มีความแกร่งสูงและป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี ออกแบบมาให้สามารถจัดวางบนชั้นหรือแขวนยึดติดผนังได้ โดยจะมีจอแสดงผลอยู่ทั้งสองด้านบริเวณส่วนหน้าของเครื่อง เอกสารข้อมูลด้านเทคนิคของ M-100 นั้นยาวเหยียดทีเดียว จึงขอเลือกเฉพาะส่วนที่น่าสนใจมานำเสนอไว้พอสังเขป

M.C.F (Micromega Custom Finish)

        ระบบเลือกเลือกเฉดสีของตัวเตรื่องให้เหมาะกับการตกแต่งภายในห้องได้ ซึ่งมีให้เลือกกว่าร้อยเฉดสีหรือแม้กระทั่งลวดลายพื้นผิวบนตัวเครื่องก็สามารถสั่งทำเป็นพิเศษได้เช่นกัน ถ้าใครสนใจลองสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางตัวแทนจำหน่ายดูครับ

M.A.R.S (Micromega Acoustic Room System)

        ฟังก์ชั่นปรับแก้ไขสภาพอคูสติกส์ของห้องที่เรียกสั้น ๆ ว่า M.A.R.S ปกติเรามักจะพบฟังก์ชั่นคล้าย ๆ กันอยู่ในเอวีรีซีฟเวอร์เสียมากกว่า ถือว่า Micromega น่าจะเป็นเพียงไม่กี่แบรนด์ที่บรรจุฟังก์ชั่นนี้ลงในอินทิเกรตแอมป์ หลักการก็คือใช้ไมโครโฟนเชื่อมต่อกับ M-100 แล้วนำไปไมค์ไปตั้งตรงตำแหน่งนั่งฟังเพื่อวัดค่า จากนั้นซอฟท์แวร์ในตัว M-100 จะนำเอาค่าความถี่ตอบสนองจากลำโพงที่ไมค์วัดได้ทั้งค่าการซับ-สะท้อน หรือเรโซแนนท์ที่เกิดภายในห้องมาแก้ไขให้เหมาะสม โดยจะมี Preset ให้เลือกสองแบบคือ “Room EQ1” ที่เน้นความราบเรียบการตอบสนองย่านความถี่ (Frequency response) และ “Room EQ2” จะเพิ่มในส่วนของการตอบสนองสัญญาณเสียงกระทบ (Impulse) เข้ามาด้วย ฟังก์ชั่นนี้มีจำหน่ายแยกเป็นออฟชั่นเสริมต่างหาก

แอปสั่งงานผ่านสมาร์ทโพนหรือแทปเล็ต

        แอป “Micromega” มีให้ดาวน์โหลดทั้ง iOS และ Android ใช้สั่งงานแทนรีโมทคอนโทรลและรองรับการใช้งาน Internet Radio รวมถึง Audio Server ผ่านโปรแกรมที่รองรับ เช่น Jriver หรือ Foobar2000 (ตัวผู้เขียนใช้โปรแกรม Universal Media Server บน PC เพื่อทำเป็น NAS ก็สามารถมองเห็นในแอปและทำงานร่วมกับ M-100 ได้อย่างราบรื่น) รองรับ Cloud Service อย่าง TIDAL หรือวิธีที่ง่ายกว่านั้นคือการเล่นผ่านฟังก์ชั่นบูลทูธนั่นเอง ซึ่งภาครับสัญญาณบลูทูธแบบ 4.0 aptX ในตัวของ M-100 นั้นมีคุณภาพสูงมาก ฟังแล้วให้คุณภาพเสียงใกล้เคียงกับการเล่นผ่านการสตรีมมิ่งประเภทอื่นมากทีเดียว

การเชื่อมต่อที่ครอบคลุมทุกระดับการใช้งาน

        M-100 นั้นนอกจากจะให้ช่องดิจิตอลอินพุตมาอย่างครบถ้วนมากที่สุดเท่าเคยได้ทดสอบเครื่องเสียงมา ยังใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงลิบแถมรองรับความละเอียดของสัญญาณได้ครอบคลุมทุกระดับ จะเรียก M-100 ว่าเป็น Digital Hub ที่สมบูรณ์แบบก็ว่าได้

  • ช่อง USB ออดิโอ 2.0 แบบ 32 บิตสำหรับสัญญาณ PCM, DSD, DSD/DoP รองรับ DSP XMOS แยกอิสระจากอุปกรณ์ประมวลผลภายในเครื่อง
  • ช่องโคแอ็คเชี่ยล SPDIF รองรับ 32 bit/768KHz ซึ่งมีหม้อแปลงแยกอิสระ
  • มีโมดูลบลูทูธแบบ AptX ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 8 ชิ้น
  • ช่อง I2S แบบ HDMI สำหรับอุปกรณ์ในอนาคตอย่างเช่น Wireless point to point หรืออุปกรณ์เน็ตเวิร์คอื่น ๆ
  • ช่อง Ethernet พอร์ตสำหรับเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คเพื่อใช้งาน Micromega app รองรับทั้ง UPnP – DLNA  ตัวแอพสามารถใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรลสั่งงาน NAS, Digital Radio และสตรีมมิ่ง
  • ช่องต่ออนาล็อคอินพุตแบบอันบาล้านซ์และบาล้านซ์
  • ภาคโฟโนสเตจแบบ MM และ MC
  • ช่องต่อโลว์-พาสตัดความถี่ 400 เฮิร์ตสำหรับใช้งานร่วมกับแอ็คทีฟซัพวูฟเฟอร์

วงจรภาคดิจิตอลและอนาล็อคคุณภาพสูง

        M-100 จัดการทำงานของสัญญาณดิจิตอลด้วย CPLD (Complex Programmable Logic Device) ซึ่งเปรียบได้กับมันสมองของ M100 ช่วยจัดการความถี่สัญญาณนาฬิกาที่ความถี่ 45.1584MHz (สำหรับแซมปลิ้งเรต 44.1KHz) และความถี่ 49.1520MHz (สำหรับแซมปลิ้งเรต 48KHz) ให้มีการรบกวนทางเฟสต่ำสุด ใช้ชิพถอดรหัสเสียงคุณภาพสูง AKM AK4490EQ รองรับไฟล์ฟอร์แมตความละเอียดสูงสุดถึง PCM 32 bit / 768 KHz และ DSD 11.2 MHz นั่นทีเดียวใช้ดิจิตอลโวลุ่มความละเอียดระดับ 32 บิตที่ควบคุมการทำงานด้วยโปรเซสเซอร์ SHARC จาก Analog Device

        ใช้เทคโนโลยีวงจรภาคจ่ายไฟสวิตชิ่งแบบ Resonance Power Supplies หรือเรียกสั้น ๆ ว่า LLC ที่มีความเร็วสูงและทำงานบนความถี่ที่สูงที่เหนือกว่าย่านความถี่เสียงปกติถึง 6 เท่า ตัดปัญหาสัญญาณไปรบกวนภาคขยายอย่างเด็ดขาด โดยใน M-100 จะใช้ภาคจ่ายไฟ LLC ถึงสองชุดสำหรับแต่ละแชนแนลทำงานแบบดับเบิ้ล-โมโน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองแชนแนลจะทำงานเป็นอิสระต่อกัน สามารถให้กำลังขับได้สูงถึง 300 วัตต์ต่อเนื่อง (เทียบเท่ากับการใช้หม้อแปลงขนาด 300 VA สองลูกที่มีน้ำหนักกว่า 8 กิโลกรัมเลยทีเดียว) น้ำหนักเครื่องของ M-100 จึงเบาเพียง 9 กิโลกรัมและสามารถติดตั้งบนผนังได้อย่างสบาย

        ในส่วนภาคขยายเป็นวงจรอนาล็อค Class AB แบบบาล้านซ์ตลอดช่วง ซึ่งทาง Micromega เชื่อมั่นว่าให้คาแร็คเตอร์เสียงและคุณภาพเหนือกว่าวงจร Class D ที่มีตัวแปรอันอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพเสียงได้มากกว่า โดยทาง Micromega ออกแบบการระบายความร้อนด้วยการใช้อุโมค์ลมซ่อนอยู่ภายในมีพัดลมขนาดเล็กที่จะทำงานเมื่ออุณหภูมิเครื่องสูง (เสียงพัดลมเงียบดีมากหมดห่วงเรื่องเสียงรบกวน)

แกะกล่อง

        แว่บแรกที่เห็นตัวเครื่องนั้นเข้าใจว่าเป็นดิจิตอลแอมป์อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงเพรียวบางกะทัดรัดดีเหลือเกินแถมยังไม่เห็นครีบระบายความร้อนเลยซักนิด มีเพียงช่องระบายความร้อนเล็ก ๆ บริเวณข้างตัวถังทั้งสองด้าน บอดี้รูปทรงสี่เหลี่ยมดีไซน์ดูเรียบง่ายสไตล์ โมเดิร์นเข้ากับการตกแต่งบ้านได้อย่างกลมกลืน ปุ่มคอนโทรลและสวิตช์ปิดเปิดจะถูกซ่อนไว้บนหน้าจอแสดงผล ด้านท้ายเครื่องอัดแน่นไปด้วยช่องอินพุตสัญญาณทั้งดิจิตอลและอนาล็อคครบครัน ดูค่อนข้างจะเบียดเสียดกันเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีปัญหากับการเชื่อมต่อสายขนาดใหญ่ ช่องอินพุตต่าง ๆ จะมีสติ๊กเกอร์บอกตำแหน่งติดไว้อยู่ด้านใต้เครื่อง (เวลาต่อสายแนะนำให้ดูภาพจากคู่มือแทนเพื่อความสะดวก) เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะต้องการออกแบบให้ตัวถังมีความแบนบางที่สุดเพื่อให้เหมาะกับการติดตั้งบนผนังด้วย ขารองเครื่องเป็นเดือยแหลมขนาดจิ๋วทั้งสี่มุม เครื่องรุ่นที่นำมาทดสอบเป็นสีพิเศษ “Electric Orange” ซึ่งราคาจะสูงกว่าสีมาตรฐานอย่างสีดำและเงิน พร้อมรีโมทคอนโทรล

ติดตั้งเข้าระบบ

        การใช้งานอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทดิจิตอลสิ่งสำคัญคือควรตรวจสอบเฟิร์มแวร์ในเครื่อง (ถ้ามี) ว่าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้วหรือยัง ควรทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์ทั้งหมดให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสียก่อนเพื่อให้อุปกรณ์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด หากท่านไม่สะดวกลองปรึกษาทางตัวแทนจำหน่าย ส่วนเฟิร์มแวร์อัพเดตของ M-100 นั้นให้เข้าไปดาวน์โหลดได้จาก http://micromega.com/en/products/mone-range/ เลือกหัวข้อ “M-One Updates” ซึ่งเมื่อดาวน์โหลดมาแล้วจะมีไฟล์ทั้งหมด 3 ไฟล์รวมทั้งขั้นตอนการอัพเดตโดยละเอียดดังนี้

  • M-One Firmware : V44 สำหรับ M-100
  • M-One Module Reseau Firmware : NMR V1.20 สำหรับโมดูลเน็ตเวิร์ค
  • M-One USB module : V6C9 ลงในคอมพิวเตอร์สำหรับการเชื่อมต่อทางช่อง USB

(เครื่องที่ได้รับมาทดสอบยังไม่ได้มีการอัพเดตเฟิร์มแวร์แต่อย่างใด ผู้เขียนจึงทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์จนเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดให้เรียบร้อยก่อนการทดสอบ)

        ส่วนการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คของ M-100 ต้องอาศัยช่อง Ethernet ท้ายเครื่องเชื่อมต่อสาย LAN เข้าสู่ตัว Wi-Fi Router จากนั้นทำการเปิดใช้งานแอป Micromega บนมือถือหรือแทปเล็ตจะแสดงชื่อเครื่องที่เชื่อมต่อกับเน็ตเวิร์คขึ้นมา จากนั้นคลิกที่ชื่อเครื่องก็สามารถคอนโทรล M-100 ได้ทันที

        จากการทดลองเชื่อมต่อแบบบาล้านซ์และอันบาล้านซ์พบว่ามีคุณภาพใกล้เคียงกัน ช่องต่อบาล้านซ์จะมีความสงัดของพื้นเสียงดีกว่าเล็กน้อยแต่การเชื่อมต่ออันบาล้านซ์ก็ดูจะมีความต่อเนื่องลื่นไหลดีกว่าเล็กน้อยเช่นกัน ในการทดสอบจะเน้นไปที่การใช้งานผ่านช่องอันบาล้านซ์เป็นหลัก สิ่งที่น่าสนใจคือ M100 มีฟังก์ชั่นชดเชยความไวอินพุตของสัญญาณทั้งดิจิตอลและอนาล็อคอยู่ในเมนูของเครื่องชื่อหัวข้อ “SENS” ซึ่งเราสามารถชดเชยระดับความดังของต้นทางได้อีกบวกหรือลบ 6 dB (ปรับแยกได้ทุกช่องอินพุต) ตรงนี้ดีมาก ๆ อย่างเช่นการเชื่อมต่อแบบอันบาล้านซ์สัญญาณจะเบากว่าบาล้านซ์อยู่ประมาณ 6 dB ก็สามารถใช้ฟังก์ชั่นนี้ชดเชยได้ทันที แถมการปรับชดเชยด้วยฟังก์ชั่นนี้ไม่ส่งผลเสียงต่อคุณภาพเสียงอีกด้วยน่าประทับใจมาก

        ในส่วนสายไฟเอซีนั้นการเลือกใช้สายไฟเอซีคุณภาพดีส่งผลต่อคุณภาพเสียงของ M100 พอสมควร หากเป็นไปได้ก็ควรอัพเกรดใช้สายไฟคุณภาพดีแทนสายที่ติดมากับเครื่อง อย่างผู้เขียนใช้สายไฟเอซี MIT-Z-Cord ก็เห็นหน้าเห็นหลังแล้ว

ผลการลองฟัง

        ส่วนตัวผู้เขียนได้ใช้เครื่องเล่นซีดี Micromega Stage 2 มาก่อนเพราะติดใจในความพริ้วและลื่นไหลแบบหาตัวจับยากในระดับราคาเดียวกัน เมื่อได้ทดลองฟัง M100 ก็พบว่าเครื่องเสียงจากดนแดนฝรั่งเศษนี้มีกลิ่นอายของบุคลิกเสียงที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้างส่วน แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์คนละรุ่นและถูกสร้างมาห่างกันเกินกว่าสิบปีแล้วก็ตาม อันแรกสิ่งที่สัมผัสได้คือความแนบเนียนในการนำเสนอรายละเอียดและความสะอาดของพื้นเสียงที่เหนือชั้นกว่าเครื่องในราคาต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด รายละเอียดของเสียงนั้นเหมือนกับถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมีลำดับขั้นและชั้นเชิงที่ปราณีตบรรจง รวมถึงพื้นเสียงที่มีความใสสะอาดไร้ม่านหมอกรบกวนทำให้รายละเอียดยิบย่อยเหล่านั้นมีความชัดเจนดีมาก ความสะอาดของเนื้อเสียงพาลให้ให้คิดถึงแอมป์ดิจิตอลชั้นดี แต่ M-100 จะเจือความอบอุ่นเอาไว้มากกว่า เนื้อเสียงมีความเนียนละเอียดไร้ความแข็งกระด้างอย่างสิ้นเชิง มิติเวทีเสียงมีความเป็นสามมิติตื้นลึกลดหลั่นกันไปไม่แบนเป็นหน้ากระดาน ช่องว่างช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีสามารถแยกแยะออกมาได้ดีและตรึงตำแหน่งของชิ้นดนตรีในเวทีเสียงได้นิ่งไม่สับสนตีรวนกันเอง [Test CD 5 / Opus 3 – PCM 16/44.1] ไม่ว่าจะเล่นในระดับความดังสูงหรือแผ่วเบาคุณสมบัติที่กล่าวมาก็ยังคงแสดงออกมาให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน

        โทนัลบาล้านซ์หรือสมดุลเสียงของ M100 มีความราบเรียบดีมากฟังแล้วไม่รู้สึกว่าหนักไปทางทุ้มหรือแหลมมากเกินไป ถือว่าค่อนข้างมีความเป็นกลางหรือมีโทนเสียงแบบมอร์นิเตอร์ดีทีเดียว สังเกตว่าเราจะสามารถจับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสายสัญญาณ สายไฟเอซี หรืออุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันในระบบได้อย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่า M100 ไม่ค่อยมีบุคลิกเสียงส่วนตัวมากเท่าไรนัก แต่ในคณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความอิ่มแน่นของตัวเสียงทั้งทุ้มกลางแหลม รวมทั้งความต่อเนื่องลื่นไหลและความพริ้วไหวของปลายเสียงเอาไว้ได้อย่างน่าฟัง [Rain Forest Dream / Joji Hirota – PCM 16/44.1]

        จุดเด่นอีกอย่างของ M100 คือการให้ช่วงไดนามิกคอนทราสต์หรือความดัง-เบาของเสียงที่หลากหลายได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงระดับเสียงได้อย่างชัดเจนไม่ว่าในช่วงดังหรือเบา ก่อให้เกิดความไพเราะเพราะพริ้งของบทเพลง โดยเฉพาะเสียงของนักร้องที่ออดอ้อนเจือความหวานละเมียด ส่งผลให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเสียงดนตรีได้เป็นอย่างดี [The Look of Love / Grace Mahya – FLAC 16/44.1] กับบางอัลบั้มสามารถเก็บรายละเอียดของเสียงแผ่วเบาต่าง ๆ ได้หมดจดอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน [AMANDA / Amanda McBroom – PCM 16/44.1] จุดนี้ค่อนข้างโดดเด่นกว่าแอมป์หลาย ๆ ตัวที่เคยได้ฟังมา

        ในแง่ของกำลังขับนั้น M100 สามารถขับลำโพงอย่าง Canton Vento 830.2 ออกมาได้เป็นอย่างดี แทบไม่ต่างกับการใช้ชุดปรี-เพาเวอร์ แม้ลำโพง Vento 830.2 ค่อนข้างกินวัตต์พอสมควร แต่ M100 ก็ยังสามารถรีดประสิทธิภาพของลำโพงออกมาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเกินคาดสำหรับอินทิเกรตแอมป์ มีกำลังสำรองที่ดีเวลาเสียงโหมขึ้นดังพร้อม ๆ กันอย่างเพลงซิมโฟนีออเครสตร้า [Malcolm Arnold, London Philharmonic Orchestra / Arnold: Overtures – FLAC 16/44.1] ก็ไม่รู้สึกว่ามีอาอารป้อแป้หรืออ่อนแรงแต่อย่างใด ให้ชิ้นดนตรีหลุดลอยออกมาจากตู้ลำโพงได้ดีและตริ่งตำแหน่งได้นิ่งสนิท ปราศจากความอั้นตื้อแม้เล่นในระดับความดังสูง (เมื่อเทียบกับชุดปรี-เพาเวอร์จะให้ความโอ่อ่าของเวทีเสียงและโฟกัสรวมทั้งย่านความถี่ต่ำ ๆ ที่ดีกว่า M100 เล็กน้อย) เมื่อลองจับคู่กับลำโพงความไวต่ำอย่าง NHT 1.5 นั้นขับได้อย่างสบาย ๆ ให้เสียงหลุดตู้และเบสมาเป็นลูก ๆ เลยทีเดียว (อาจจะด้วย NHT 1.5 มีความต้านทานที่ไม่ซับซ้อนเท่าไรนัก)

        สำหรับคนที่ใช้ M100 แนะนำว่าให้จับคู่กับลำโพงความไวสูงสักนิดดูจะเหมาะสมกันที่สุด แต่หากใช้ลำโพงตั้งพื้นหรือลำโพงที่มีโหลดซับซ้อนกว่านี้การขยับไปเล่นรุ่น M150 ที่ให้กำลังขับสูงและมีกำลังสำรองดีกว่าก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เสียดาย M100 ให้ภาคปรีเอ้าท์มาเฉพาะแบบบาล้านซ์เลยไม่ได้มีโอกาสทดสอบร่วมกับเพาเวอร์แอป์ NAD 216THX ดู แต่เชื่อว่าสามารถนำมาใช้เป็นปรีแอมป์ชั้นดีได้แน่นอน

ภาคดิจิตอลอินพุตคุณภาพสูง

        การทดลองฟังเสียงจากช่องดิจิตอลอินพุตของ M100 ตลอดช่วงการทดสอบไม่ส่อแสดงอาการแห้งแล้งหรือเกร็งแข็งของเสียงออกมาให้เห็นเลย แสดงให้เห็นว่าวงจร CPLD จัดการกับสัญญาณดิจิตอลเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ความละเอียดระดับไหนก็สามารถขุดคุ้ยเอารายละเอียดเสียงทั้งหมดของต้นฉบับออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยปราศจากความเพี้ยนส่วนเกิน ภาค DAC ในตัว M100 นั้นมีคุณภาพดีมากให้โทนเสียงราบเรียบเป็นกลาง มีความสงัดของพิ้นเสียงที่ดี เนื้อเสียงอิ่มแน่นแต่ไม่อวบหนาจนขาดรายละเอียด ให้รายละเอียดหยุมหยิมได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่เน้นเด่นออกมาเกินหน้าเกินตา เจือความอบอุ่นนุ่มนวลของเสียงติดปลายนวมมาเล็ก ๆ ทำให้รู้สึกฟังสบายและไม่ล้าหู ที่สำคัญให้ความอิ่มแน่นมีน้ำหนักของฐานเสียงและย่านเสียงต่ำได้ดี แนวเสียงแบบนี้น่าจะเป็นที่ถูกหูคนฟังส่วนใหญ่ค่อนข้างตอบสนองแนวเพลงได้หลากหลาย

        ส่วนในส่วนการฟังไฟลเพลงไฮ-เรส (โดยเฉพาะไฟล์ DSD ) ผ่านช่อง USB หรือ Ethernet นั้นก็แสดงประสิทธิภาพของไดนามิก ความเนียนสะอาด และรายะเอียดยิบย่อยที่เป็นธรรมชาติของไฟล์ DSD ออกมาได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนใช้สาย USB กับสาย LAN เกรดทั่ว ๆ ไปก็ยังสัมผัสได้ นี่ถ้าได้สายออดิโอเกรดคงจะเห็นอะไรอีกเยอะ [Soft Lights & Sweet Music / Gerry Mulligan, Scott Hamilton – DSD64], [The Eagles / Hotel California – DSD64]

        ทดลองนำไปใช้ชมภาพยนตร์ผ่านการเชื่อมต่อทางช่องออพติคอลอินพุต ปรากฏว่าได้อรรถรสดีมาก แม้จะเป็นแค่เสียง PCM มิกซ์ดาว์นสองแชนแนล แต่การถ่ายถอดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยของเอ็ฟเฟกต์ต่าง ๆ อย่างมีชั้นเชิงรวมถึงการถ่ายทอดน้ำเสียงในบทสนทนาของตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างเข้าถึงในอารมณ์นั้น หาฟังได้ยากเหลือเกินจากแอมป์เอวีรีซีฟเวอร์ทั่ว ๆ ไปซึ่งส่วนใหญ่มักจะเน้นไปที่ความคมชัดของสนามเสียงและความหนักแน่นเร้าใจ แค่นี้ก็ทำให้การชมภาพยนตร์ได้รสชาดและเพลิดเพลินดีไม่ใช่น้อยเลย (โดยเฉพาะหนังแนวดราม่าหรือซีรียส์ทั้งหลาย)

ภาคเฮดโฟนแอมป์ระดับไฮเอ็นด์

         ปกติแล้วผู้เขียนไม่ค่อยให้ความสนใจกับช่องหูฟังที่ติดมากับอินทิเกรตแอมป์เท่าไรนัก เพราะโดยส่วนมากคุณภาพแค่พอฟังได้ซะเป็นส่วนมาก แต่ได้หลังจากได้ลองภาคหูฟังของ M-100 แล้วยอมรับว่าอึ้งไม่ไช่น้อยเพราะคุณภาพมันราวกับแอมป์หูฟังตั้งโตะชั้นดีจริง ๆ แสดงว่าทาง Micromega ต้องพิถีพิถันกับวงจรภาคหูฟังมากพอควร คุณภาพเสียงนั้นถอดแบบมาจากตัวอินทิเกรตแอมป์แทบทั้งหมด ทั้งความสะอาดเนียนละเมียดของตัวเสียง ความกลมเกลี้ยงกระชับแน่นมีน้ำหนัก แยกมิติเลเยอร์ของดนตรีได้เด็ดขาด และมีพื้นเสียงที่เงียบสงัดเอามาก ๆ ผู้เขียนปรับชดเชยความดังขึ้นไปอีก 6 dB ทดลองกับหูฟังแบบฟูลไซส์และแบบอินเอียร์ก็ไม่ได้ยินเสียงรบกวนเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว มีพละกำลังที่สามารถขับหูฟังได้คุณภาพเต็มร้อยเปอร์เซนต์ เชื่อว่าคุณภาพจากช่องหูฟังของ M-100 นั้นไม่เป็นรองแอมป์หูฟังแบบตั้งโต๊ะระดับต่ำแสนสักกี่มากน้อย

        และหากต้องการอัพเกรดภาคหูฟังของ M-100 ให้เหนือชั้นขึ้นไปอีก ทาง Micromega ก็มีจำหน่ายออพชั่นเสริมเป็นฟังก์ชั่น Binaural Listening ที่สร้างมิติของหูฟังให้เสมือนกับการรับฟังจากลำโพงบ้านจริง ๆ  (รายละเอียดสอบถามได้ทางผู้จัดจำหน่าย)

สรุป

        ไม่บ่อยนักที่จะได้เจอเครื่องเสียงประเภท All-in-one ซึ่งให้ประสิทธิภาพของแต่ละฟังก์ชั่นนั้นดุจเดียวกับเครื่องแบบแยกชิ้นชั้นดี ในงบประมาณราวสองแสนบาทอาจจะดูสูงแต่หากคำนวณคร่าว ๆ ว่าท่านจะได้อินทิเกรตแอมป์พร้อม DAC แบบไฮ-เรสที่รองรับไฟล์ความละเอียดสูงได้ทุกระดับ รวมทั้งเน็ตเวิร์คเพลเยอร์ แถมด้วยแอมป์หูฟังระดับไฮเอ็นด์ในตัวด้วยละก็ การใช้เงินไปซื้อแบบแยกชิ้นเพื่อให้ได้คุณภาพใกล้เคียงกันดูจะใช้งบสูงกว่าพอควร เพราะอย่าลืมเผื่อสำหรับค่าสายสัญญานต่าง ๆ ด้วย อีกทั้งประหยัดพื้นที่ในการจัดวาง เหมาะสำหรับท่านที่ชอบความเรียบง่ายสะดวกสบายแต่ให้คุณภาพเสียงระดับไฮเอ็นด์ รวมถึงดีไซน์ที่กลมกลืนกับการตกแต่งบ้านได้ จับกับลำโพงคุณภาพดีสักคู่เท่านี้ความสุขก็อยู่แค่ปลายนิ้วแล้ว

อุปกรณ์ร่วมทดสอบ

  • แหล่งโปรแกรม: เครื่องเล่นซีดี Cayin SC 100 CD, แอมป์พกพา Chord Mojo, เครื่องเล่นไฟล์พกพา iBasso DX80, iPad Mini, PC (NAS)
  • แอมป์: อินทิเกรตแอมป์ NAD C368, เพาเวอร์แอมป์ NAD 216THX
  • ลำโพง: Canton Vento 830.2, NHT 1.5
  • สายเชื่อมต่อ: สายดิจิตอล USB Furutech Formula 2, สายสัญญาณอนาล็อก Tchernov Special XS, สายสัญญาณอนาล็อกTaralabs TL-101, สายไฟเอซี Shunyata Python VX, สายไฟเอซี MIT-Z-Cord, สายลำโพงSupra Ply 3.4
  • อุปกรณ์เสริม: ปลั๊กผนัง PS Audio Power Port Premiere (Audiophile Grade), ปลั๊กกรองไฟ Clef Power Bridge 8 (เปลี่ยนปลั๊กเป็น Wattgate 381), ตัวกรองไฟ X-filter, ตัวกรองน้อยส์ Audio Prism Quite Line mkIII, ตัวกรองน้อยส์ Audio Quest Jitter Bug, ผลึกควอตซ์ Acoustic Revive QR-8, ขาตั้งลำโพง Atacama HMS 1, ชั้นวางเครื่องเสียง Audio Arts

รายละเอียดเชิงเทคนิค

  • ขนาด : กว้าง : 430 mm ลึก : 350 mm สูง (รวมสไปค์) : 56 mm
  • น้ำหนัก : 9 kg
  • บริโภคพลังงาน :  140W
  • กำลังขับ : 2 x 100W ที่ 8Ohms, 2 x 200W ที่ 4Ohms
  • อัตราส่วนเสียงต่อสัญญาณรบกวน (S/N Ratio): 106 dB(A) Balanced analog input : 103 dB(A) Unbalanced analog input : 100 dB(A) Phono MM input : Higher than 75 dB(A)
  • ความต้านทานขาออก : @250Hz under 8 Ohms 15mΩ
  • แดมปิ้งแฟ็คเตอร์ : > 500
  • ค่าความเพี้ยนรวม : THD, 8 Ohms, 63 Hz : under 0,001% THD, 8 Ohms, 1 kHz : under 0,005% THD, 8 Ohms, 10 kHz : under 0,05% THD, 4 Ohms, 63 Hz : under 0,001% THD, 4 Ohms, 1 kHz : under 0,01% THD, 4 Ohms, 10 kHz : under 0,07%
  • การรบกวนข้ามแชนแนล (Crosstalk) : 1kHz under 96dB, 10kHz under 80dB
  • ความไวขาเข้า : Phono MM, 47 kOhms 12 mVRMS Phono MC, 110 Ohms 1,2 mVRMS Analogue : 1,4 VRMS Balanced : 1,7 VRMS

ขอขอบคุณ CH HOME MEDIA โทร. 094-461-4152 ที่เอื้อเฟื้อสินค้สำหรับการทดสอบในครั้งนี้