ดนตรี (Music) คือ ลักษณะของเสียงที่ได้รับการจัดเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ โดยมีแบบแผนและโครงสร้างชัดเจน ถือเป็นวัฒนธรรมที่เคียงคู่มากับพัฒนาการของชีวิตมนุษย์ ซึ่ง “ดนตรี” นั้นพบได้ในทุกเชื้อชาติมนุษย์ เป็นสิ่งที่แฝงและฝังอย่างมีอิทธิพลอยู่ในชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดจนตายก็ว่าได้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า ดนตรีนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ 3 ด้าน คือ เพื่อความสุนทรีย์, เพื่อการศึกษา และเพื่อการบำบัดรักษา
“ดนตรี” นั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จิตใจ สังคม และภูมิปัญญา โดยมีผลต่อการทำงานของสมองในหลายด้าน องค์ประกอบต่างๆ ทางดนตรี ก็สามารถให้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการบำบัดรักษา ซึ่งมีชื่อเรียกขานเป็นที่รู้จักกันมาเนิ่นนานว่า ดนตรีบำบัด หรือ Music Therapy อันเป็นศาสตร์การบำบัดรักษา ที่มุ่งเน้นดูแลสุขภาพด้วยเสียงดนตรี โดยนักดนตรีบำบัดวิชาชีพที่จบการศึกษาเฉพาะทางด้านดนตรีบำบัด เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย และสุขภาพใจ
กล่าวได้ว่า “ดนตรีบำบัด” มิใช่ดนตรีศึกษา ทว่าเป็นการนำดนตรี หรือองค์ประกอบต่างๆ ทางดนตรี มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นหลักวิชาการ เพื่อปรับเปลี่ยน, พัฒนา และคงรักษาไว้ซึ่งสุขภาวะของร่างกาย จิตใจ สังคม และภูมิปัญญา โดยมีนักดนตรีบำบัดเป็นผู้ดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ผ่านกิจกรรมทางดนตรีต่างๆ อย่างมีรูปแบบโครงสร้างที่ชัดเจน มีหลักเกณฑ์ และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์
เป้าหมายของดนตรีบำบัดไม่ได้เน้นที่ทักษะทางดนตรี แต่เน้นในด้านพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ สังคม และภูมิปัญญา ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละคนที่มารับการบำบัด สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายบริบท ทั้งที่บ้าน สถานศึกษา สถานพยาบาลและศูนย์สุขภาพต่าง ๆ
ทั้งนี้ดนตรีบำบัดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ และกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย เพื่อตอบสนองความจำเป็นที่แตกต่างกันไป เช่น ปัญหาบกพร่องของพัฒนาการ สติปัญญา และการเรียนรู้, โรคซึมเศร้า, โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์, โรคหลอดเลือดสมอง, ความพิการทางร่างกาย, อาการเจ็บปวด และภาวะอื่นๆ กระทั่งบุคคลทั่วไป ก็สามารถใช้ประโยชน์จากดนตรีบำบัดได้เช่นกัน อาทิ ช่วยในการผ่อนคลายความตึงเครียด และประกอบในการออกกำลังกายเสริมสร้างสุขภาพ
ประโยชน์ของดนตรีบำบัด
1. ปรับสภาพจิตใจให้อยู่ในสภาวะสมดุล มีความสงบ และมีทัศนคติในเชิงบวกเพิ่มขึ้น
2. ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล (Anxiety/Stress Management)
3. กระตุ้น เสริมสร้าง และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และความจำ (Cognitive Skill)
4. กระตุ้นการรับรู้ (Perception)
5. เสริมสร้างสมาธิ (Attention Span)
6. เสริมสร้างทักษะสังคม (Social Skill)
7. พัฒนาทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษา (Communication and Language Skill)
8. พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว (Motor Skill)
9. ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Muscle Tension)
10. การจัดการอาการเจ็บปวดจากสาเหตุต่าง ๆ (Pain Management)
11. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification)
12. สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการบำบัดรักษาต่างๆ (Therapeutic Alliance)
13. ช่วยเสริมในกระบวนการบำบัดทางจิตเวช ทั้งในด้านการประเมินความรู้สึก สร้างเสริมอารมณ์เชิงบวก การควบคุมตนเอง การแก้ปมขัดแย้งต่างๆ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว
โดยสรุปดนตรีบำบัด มีประโยชน์หลากหลายขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ โดยบูรณาการเข้ากับการบำบัดรักษาอื่นๆ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ทั้งในโรงพยาบาล ในโรงเรียน และในกลุ่มเด็กพิเศษ
นอกจากนี้ เรา-ท่านคงเคยได้ยินมาว่า การให้ลูกน้อยในครรภ์มารดาได้ฟังเพลงคลาสสิก โดยเฉพาะบทเพลงของโมสาร์ท (Mozart) นั้น สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาสมองของลูกได้ตั้งแต่ในครรภ์…ความจริงเรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากว่าเป็นจริงหรือไม่? รวมไปถึงว่า ถ้านอกจากการฟังเพลงแล้ว ยังมีวิธีไหนอีกบ้างที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งนี้ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า การเปิดเพลงให้ลูกน้อยฟังในท้องนั้น จะเป็นผลดีในระยะยาว หรือช่วยเสริมทักษะความรู้ความสามารถของลูกน้อยหลังคลอดได้
โมสาร์ทก็คือ Wolfgang Amadeus Mozart นักดนตรีและคีตกวีระดับโลกชาวออสเตรีย ที่มีผลงานการประพันธ์เพลงคลาสสิกไว้มากมาย มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1756-91 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในปี ค.ศ.1950 ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับบทเพลงของ Mozart ในด้านการพัฒนาศักยภาพของสมอง ซึ่งพบว่า การฟังดนตรีของโมสาร์ทนั้น มีส่วนช่วยให้ความจำและตรรกะของกลุ่มทดลองที่เป็นนักศึกษาจาก 36 สถาบัน ดีขึ้นได้ โดย ดร.อัลเฟร็ด โทมาทิส (Alfred A. Tomatis) แพทย์ชาวฝรั่งเศส และเป็นผู้ที่สร้างคำว่า “โมสาร์ท เอฟเฟกต์” (The Mozart Effect) ที่เชื่อว่า บทเพลงคลาสสิกเป็นทางเลือกใหม่ ของการพัฒนาสมองให้เกิดการเพิ่มพูนความทรงจำนั่นเอง
จากนั้นก็มีการนำเพลงของโมสาร์ทมาใช้กับเด็กๆ โดยเชื่อกันว่า หากเด็กๆ ได้ฟังเพลงของโมสาร์ทตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ก็จะช่วยให้ลูกมีสติปัญญาที่ดี หรือเป็นเด็กฉลาดได้นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีการทำการวิจัยเชิงทดลองระยะยาวกับเด็กที่ได้ฟังเพลงโมสาร์ทตั้งแต่อยู่ในครรภ์เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้ฟัง การทดลองที่ทำให้เกิดคำว่า The Mozart Effect นั้นก็เป็นการทดลองกับผู้ใหญ่ จึงไม่สามารถมาเปรียบเทียบผลของการฟังเพลงของลูกน้อยในครรภ์ได้
แต่ถึงแม้ว่า ในความเป็นจริงยังไม่มีงานวิจัยใดๆ พิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า การเปิดเพลงให้ลูกน้อยฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้นจะเป็นผลดีในระยะยาว หรือช่วยเสริมทักษะความรู้ความสามารถของลูกน้อยหลังคลอดได้หรือไม่ แต่ที่เป็นประโยชน์ได้อย่างแน่นอนเลยคือ ทำให้คุณแม่ได้ผ่อนคลาย และนอนหลับอย่างสบายมากขึ้นนั่นเอง
สำหรับในส่วนของลูกน้อยที่อยู่ในท้องแม่นั้น สามารถได้ยินเสียงตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ 16 ถึง 18 แล้ว และเมื่ออายุครรภ์ได้ 24 สัปดาห์ หูของลูกจะเริ่มตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน เงียบลงเพื่อฟัง ส่งเสียงตอบกลับเสียงที่ได้ยิน ขยับตัวตอบรับเสียง หรือหันศีรษะไปตามเสียงที่มารบกวน เช่น เสียงหมาเห่า เสียงเครื่องตัดหญ้า เสียงที่มีความถี่ต่ำ พอเข้าช่วงไตรมาสที่ 3 หรือเมื่อเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 27-40 ลูกในท้องจะจดจำเสียงของคุณแม่ที่สะท้อนผ่านร่างกายของคุณแม่ได้แล้ว รวมถึงเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ เสียงท้องร้องของคุณแม่ด้วย ซึ่งหมายความว่าในไตรมาสที่ 3 ลูกในท้องก็สามารถได้ยินเสียงเพลงที่คุณแม่เปิดให้ฟังได้แล้วเช่นกัน
เพลงที่ดีในการพัฒนาสมองลูกในครรภ์ควรเป็นเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ อย่าง เพลงคลาสสิก เพลงบรรเลง หรือเพลงที่คุณแม่ชอบ หากคุณแม่ชอบเพลงคลาสสิกก็ฟังเพลงที่ชอบได้โดยเลือกเพลงที่มีจังหวะเบาๆ ที่เน้นความผ่อนคลาย ไม่มีเนื้อหาเศร้าจนเกินไป เพราะขณะที่เปิดเพลงผู้ที่จะได้รับผลโดยตรง นั่นก็คือ คุณแม่ การได้ฟังเพลงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เสมือนได้พักผ่อนและมีความสุข ร่างกายจึงหลั่งสารแห่งความสุข หรือสารเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ออกมา ช่วยทำให้เจ้าตัวเล็กได้รับสารแห่งความสุขที่หลั่งมาจากคุณแม่ไปด้วยเช่นกัน
สารเอนดอร์ฟินจะส่งผลให้ลูกมีการพัฒนาการทางสมองและด้านอารมณ์ที่ดี และมีความสุขตามไปด้วย การเปิดเพลงควรเปิดเพลงด้วยเสียงที่ดังพอประมาณ มีระยะห่างจากท้องสักเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องฟังแต่เพลงช้า เพราะเพลงที่มีทำนองค่อนข้างเร็ว ก็อาจช่วยกระตุ้นให้ลูกน้อยมีการตื่นตัว และกระตุ้นพัฒนาการทางด้านการได้ยินเช่นกัน แต่ก็ต้องไม่เปิดเสียงดังเกินไป
ในขณะที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น การเปิดเพลงให้ลูกน้อยในท้องได้ฟังจะช่วยกระตุ้นทำให้เครือข่ายเส้นใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับด้านการได้ยินของลูกมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นด้วยนะ ช่วยให้ทารกที่คลอดออกมาสามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นและส่งผลให้เป็นเด็กอารมณ์ดี อีกทั้ง ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดสร้างความสุขให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์อีกด้วย ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดเพลงให้ลูกฟัง คือ อายุครรภ์ตั้งแต่ 5 เดือนเป็นต้นไป เพราะเป็นช่วงที่พัฒนาการด้านระบบประสาทการรับฟังของทารกในครรภ์เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว ซึ่งการกระตุ้นโดยการเปิดเพลงให้ลูกได้ฟัง จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณแม่สามารถรับรู้ได้ว่าลูกในท้องตื่นตัวหลังจากได้ฟังเพลงหรือไม่ โดยสังเกตจากการดิ้นของลูกได้
* เวลาเปิดเพลงให้ลูกฟังควรให้เสียงเพลงอยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต หรือใช้หูฟังชนิดครอบอันใหญ่ เปิดเสียงดังพอประมาณ เลือกเปิดเพลงให้ลูกในครรภ์ฟังในช่วงเวลาเย็นๆ เพราะเป็นช่วงที่หนูน้อยจะตื่นตัว ให้ลูกได้ฟังวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที เท่านี้ก็จะช่วยทำให้อารมณ์ของทั้งแม่และลูกผ่อนคลาย อารมณ์ดีไปพร้อมๆ กัน
กระนั้นก็มีบางเพลงนอกเหนือจากเพลงคลาสสิกที่น่าสนใจ โดยได้มีการระบุไว้ว่า ให้ผลที่ดีต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กในครรภ์อยู่ 5-6 เพลงด้วยกัน :
1. You Are My Sunshine-Johnny Cash
• เพลงฮิตสุดคลาสสิกตลอดกาล เพลงฟังสบายๆ ที่จะช่วยทำให้ลูกในท้องของเรารู้สึกผ่อนคลาย
2. Que Sera, Sera-Doris Day
• อีกหนึ่งเพลงที่เป็นที่นิยมกันมากจากโฆษณาไทยประกันชีวิตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว! แต่เพลงนี้ก็ยังติดตรึงอยู่ในใจของใครหลายๆ คน รวมถึงเป็นเพลงที่ทำนองจำง่ายและนิยมเปิดกันให้เด็กๆ เพื่อพัฒนาการของสมองอีกด้วย
3. In Your Own Sweet Way-Wes Montgomery
•อีกหนึ่งรูปแบบเพลงที่เป็นแนวแจ๊ส บรรเลงเรียบๆ เรื่อยๆ เย็นๆ ให้ความรู้สึกเบาสบาย ช่วยให้ผ่อนคลาย
4. I Saw God Today-George Strait
• เป็นอีกหนึ่งเพลงที่อยากจะแนะนำ ถึงจะเป็นเพลงที่มีมานานมากแล้ว แต่เพราะทำนองเพลงที่เป็นมิตร สามารถฟังได้ทุกเพศทุกวัย เพลงไม่น่าเบื่อมากจนเกินไปทำให้ลูกของเราอารมณ์ดีขึ้น
5. Let It Go-Demi Lovato (Frozen)
• มาต่อกันที่เพลงยอดฮิตในหมู่เด็กๆ กันบ้าง การ์ตูนที่เด็กยุคนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงหนีไม่พ้น Frozen ที่เป็นที่นิยมมากตั้งแต่ภาคแรกจนภาคที่สอง ก็ยังมีเพลงติดหูยอดฮิตปล่อยออกมาอีกเพลงอย่าง Into The Unknown อีกด้วย
6. Baby Shark
• เพลงคลาสสิกจะช่วยให้ลูกผ่อนคลาย แต่เพลงสนุกสนานจะกระตุ้นให้ลูกของเราที่อยู่ภายในครรภ์มีการเคลื่อนไหวง่ายยิ่งขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเด็กที่จะเกิดมาและแข็งแรงอีกด้วย
ทุกวันนี้ได้มีข่าวออกมาสู่วงการถึงงานวิจัยบทเพลงซิมโฟนีของบีโธเฟนที่เสมือนมีพลังมหัศจรรย์ ส่งผลกำจัดเซลล์มะเร็งได้ถึง 20% ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวนั้น ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.2016 ที่สถาบัน บิโอฟิสิกา คาร์ลอส ชากัส ฟีโย (Instituto de Biofísica Carlos Chagas Filho) แห่งมหาวิทยาลัยเฟดเดอรอล ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล (Federal University of Rio de Janeiro หรือ UFRJ) ดร.มาร์เซีย อัลเวส มาร์เกส คาเปลลา (Marcia A. M. Capella) และทีมงานกำลังจัดแจงแบ่งเซลล์ 2 ประเภทในมือลงในจานเพาะเชื้อ 2 ใบ
ใบหนึ่งเป็นเซลล์สุขภาพแข็งแรงพร้อมรบ ส่วนอีกใบเป็นเซลล์มะเร็งพร้อมใช้งาน พร้อมกับเปิดเพลงประเภทต่างๆ ใส่จานเพาะเชื้อทั้งสองใบ ด้วยสมมติฐานที่เธอและทีมงานได้ตั้งไว้ ซึ่งหลังการทดลองเปิดเพลงซ้ำๆ ดร.คาเปลลา ก็พบว่า บทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 5 in C Minor ของบีโธเฟน ทำลายเซลล์มะเร็งไปได้ถึง 20% ในเวลาไม่กี่วัน ส่วนเซลล์แข็งแรงทั้งหลายก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นเดียวกับเพลง György Ligeti’s Atmosphères และเพลง Sonata for Two Pianos in D major ของโมสาร์ท ทำให้ทางทีมได้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่เชื้อมะเร็งถูกทำลายมาจากจังหวะเพลง ความถี่ และความเข้มข้นของเสียงเพลงที่เข้ามาเป็นปัจจัยหลัก
อย่างไรก็ตาม จนปัจจุบันยังไม่มีเอกสารงานวิจัยที่ได้รับการรับรองเป็นชิ้นเป็นอัน ระบุคุณสมบัติบทเพลงของบีโธเฟนที่ช่วยทำลายเซลล์มะเร็งออกมาให้เราเห็นกันจริงจัง ฉะนั้นจึงถือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าแบบฟังหูไว้หู แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้คือ การบำบัดรักษาด้วยเสียงเพลงเป็นอีกรูปแบบการรักษาที่มีมานานแล้ว และยังมีงานวิจัยออกมารองรับมากมาย
สำหรับผู้สนใจอ่านงานวิจัยฉบับเต็ม : https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1155/2016/6849473
ซิมโฟนีหมายเลข 5 ในบันไดเสียง ซี ไมเนอร์ (Symphony No. 5 in C Minor) ของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน (Ludwig van Beethoven) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Fate Symphony (เยอรมัน : Schicksalssinfonie) เป็นผลงานที่เขาประพันธ์ขึ้นในช่วง ค.ศ.1804-1808 โอปุส 67 (Opus 67) ซิมโฟนีบทนี้นับว่า เป็นหนึ่งในผลงานดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้รับความนิยมสูงสุด รู้จักกันแพร่หลายที่สุด รวมทั้งถูกนำออกแสดง และได้รับการบันทึกเสียงมากที่สุดบทหนึ่ง ซิมโฟนีบทนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว หลังจากนำออกแสดงครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1808 ในเวลานั้น แอ็นสท์ เทโอดอร์ อมาเดอุส ฮ็อฟมัน (Ernst Theodor Amadeus Hoffmann) ได้บรรยายเอาไว้ว่า “นับเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญที่สุดแห่งยุค” และถือกันอย่างกว้างขวางว่า เป็น “เสาหลัก” ของดนตรีคลาสสิก
_________________