What HI-FI? Thailand

จาก Facebook สู่ Meta

มงคล อ่วมเรืองศรี

…นับแต่นี้แพลตฟอร์มต่างๆ ที่เคยเป็นของ ‘Facebook’ จะลดขนาดลงมาเป็นบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ‘Meta’ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, WhatsApp, Facebook และ Messenger

Metaverse (เมตาเวิร์ส) ได้ถูกพูดถึงในแวดวงเทคโนโลยีและการลงทุนกันมากขึ้น หลังจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง “Facebook” ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “Meta” ทั้งๆ ที่ Facebook เป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักและจดจำกันได้ทั่วโลกผ่านกาลเวลามาเกือบ 20 ปี และปัจจุบันมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มนี้นับพันล้านคน …นี่จึงเป็นการปลุกกระแสให้ Metaverse ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้ให้ความเห็นว่า โลกของ Metaverse จะสร้างอนาคตที่ทำให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และจะไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคอย่างเดียว แต่จะสามารถเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน (Creator) ได้ด้วยตัวเอง 

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กได้ออกมาประกาศต่อสาธารณชนในงาน Facebook Connect 2021 ว่า บริษัทเฟซบุ๊กจะทำการรีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Meta เพื่อเดินหน้าวิสัยทัศน์ความเป็น “Metaverse” อย่างเต็มตัว ซึ่งนี่จะเป็นทิศทางใหม่ของบริษัทที่ตัวเขาพร้อมจะมุ่งมั่นและเดิมพันกับมัน โดยตัวเขาเองก็เคยออกมาบอกเมื่อเดือนกรกฎาคมแล้วรอบหนึ่ง ว่าเขาต้องการเปลี่ยนให้ ‘Facebook’ กลายเป็น “Metaverse Company” เต็มตัว ภายในระยะเวลา 5 ปี

อย่างไรก็ตาม แม้ในวันนี้ Metaverse อาจเป็นสิ่งที่หลายคนยังเห็นภาพไม่ชัดนัก แต่ก็เชื่อว่าในอนาคต Metaverse ก็จะกลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนคุ้นเคย เฉกเช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือที่เมื่อหลายสิบปีก่อน คงไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นสมาร์ทโฟนซึ่งสามารถย่อโลกทั้งใบมาไว้ในมือเดียวได้ “Metaverse” จึงนับเป็นคำศัพท์แห่งอนาคต โดยที่ Metaverse มาจากคำว่า Meta กับ Verse รวมแล้วได้ความหมายว่าเป็น “จักรวาลที่อยู่เหนือจินตนาการ” – – meta มาจากคำว่า beyond = เหนือกว่า, ไกลออกไป, ไกลโพ้น) + verse มาจากคำว่า universe = จักรวาล, โลก

คำว่า “Metaverse” กำเนิดมาจากนิยายวิทยาศาสตร์

จุดเริ่มต้นของคำว่า Metaverse ปรากฏครั้งแรก ในหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “Snow Crash” ของ Neal Stephenson นักเขียนชาวอเมริกัน ในปี 1992 ซึ่งเล่าเรื่องราวของโลกยุคอนาคต ที่มนุษย์และคอมพิวเตอร์ตอบโต้กันผ่านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่างๆ โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่โลกเสมือนจริงที่ล้ำสมัย เกินจินตนาการของคนยุค ’90s กล่าวได้ว่านวนิยายเรื่อง Snow Crash ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสู่การสร้างโลก Metaverse ในปัจจุบัน

แล้วอะไรคือความหมายของ “Metaverse”

Metaverse คือ การสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น “ชุมชนโลกเสมือนจริง” ที่สามารถผสานวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว โดยอาศัยเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาช่วยเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อให้กลายเป็นพื้นที่โลกเดียวกัน 

– AR หรือ Augmented Reality คือ การนำเทคโนโลยีมาผสานโลกแห่งความจริงและวัตถุต่างๆ เข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การสร้างตัวละคร Avatar ผ่านสมาร์ทโฟน, สร้างฟิลเตอร์กล้องถ่ายรูป, การเล่นเกม Pokémon GO, โฮโลแกรมภาพ 3 มิติ เป็นต้น

– VR หรือ Virtual Reality คือ การจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศา โดยอาจต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง แว่นตา VR เพื่อจำลองการรับรู้ การมองเห็น และการได้ยินเสียง ในโลกเสมือนจริง เช่น จำลองการกระโดดร่ม, การขับเครื่องบิน, การเล่นเกมแนวต่อสู้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Metaverse ก็ยังไม่มีนิยามหนึ่งเดียวแท้จริง เพราะตอนนี้ Metaverse ยังคงเป็นแนวคิดในอุดมคติที่รอคนมาสานฝันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภาพรวมของ Metaverse จึงใกล้เคียงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (World Wide Web) แห่งอนาคตที่ค่อยๆ กลายเป็นรูปแบบ 3 มิติ  มีการไหลเวียนและส่งต่อธุรกิจ ข้อมูล และเครื่องมือการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และสามารถใช้งานพร้อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ เหมือนเป็นการจำลองโลกทางกายภาพให้ไปอยู่ในโลกคู่ขนานรูปแบบดิจิทัล

Metaverse จะให้ประโยชน์อย่างไร?

Metaverse สามารถช่วยจำลองให้ตัวเราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ แม้จะนั่งอยู่ที่บ้านก็ตามที โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต, อุปกรณ์, สมาร์ทโฟน, แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังปลุกกระแสเพื่อปูทางไปสู่โลกแห่งอนาคต แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะเริ่มมีการนำ Metaverse มาใช้ในแวดวงเกมออนไลน์ แต่ในภายหลังเริ่มมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถครอบคลุม และรองรับเทคโนโลยี Metaverse ในอนาคตได้

ยกตัวอย่าง Facebook ที่ได้กระจายการลงทุนไปหลายแพลตฟอร์ม รวมถึง Oculus Go แว่นตาเทคโนโลยี VR ที่เคยสร้างเสียงฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งแว่นตา Ray-Ban Stories ที่แสดงให้เห็นความชัดเจนของ Facebook ที่ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ยังมุ่งหน้าสู่การขยายไปสู่โลก Metaverse 

นอกจากนี้ Metaverse 5G ก็ยังถูกพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี 5G คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ต และการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง กลายเป็นยุค “Internet of Things” ที่จะนำไปสู่การพัฒนาและใช้ประโยชน์จาก Metaverse ในด้านต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น:-

ด้านการแพทย์ : ใช้ในการผ่าตัดทางไกล, จำลองการผ่าตัดเสมือนจริง

ด้านวิศวกรรม : ใช้ในการออกแบบหุ่นยนต์, ออกคำสั่งทางไกลในการปฏิบัติงาน

ด้านอีคอมเมิร์ซ : ใช้ในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์, จำลองใช้สินค้าโดยไม่ต้องไปที่ร้านค้า

ด้านการลงทุน : ใช้ในการซื้อสินค้า NFT ออนไลน์, เทรดคริปโตฯ (Cryptocurrency – สกุลเงินดิจิทัล)  

ด้านท่องเที่ยว : ใช้ในการจำลองท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์, จำลองสถานที่ต่างๆ

ด้านบันเทิง : ใช้ในการจัดคอนเสิร์ตเสมือนจริง, สร้างตัวละครเสมือนจริงในภาพยนตร์

เมื่อผู้คนได้เข้าถึงเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด หลายๆ คนก็ได้แต่งเติมรายละเอียด Metaverse จากดั้งเดิม ขอบเขตของ Metaverse จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่โลก หรือจักรวาลแห่งหนึ่ง แต่เป็นอะไรก็ได้ ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ 


Metaverse จึงเป็นการสร้าง “โลกเสมือนจริง” ไม่ใช่เป็นแค่ ‘สังคมเสมือน’ เท่านั้น โลกจริงมีอะไร โลกเสมือนก็ควรต้องมีแบบนั้นคู่ขนานกันไป นั่นหมายความว่า มันจะมีโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในโลกเสมือนนั้นด้วย มีการซื้อขายอะไรบ่างอย่างกันในโลกเสมือน ซื้อขายกันจริง ๆ มีการจ่ายเงิน มีหลักฐานซื้อขาย แต่ไม่มีของให้จับต้อง ทุกอย่างอยู่ในโลกเสมือน โลกที่เราเคยคิดว่ามันอยู่ในจินตนาการ ก็เกิดคู่ขนานขึ้นมาจริงๆ …..

Exit mobile version