What HI-FI? Thailand

อัลบั้ม ‘All Things Must Pass’ เปิดตัวใหม่ ในวาระครบรอบ 50 ปี

“All Things Must Pass” ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ George Harrison ถึงวาระเฉลิมฉลองด้วย 50th anniversary editions ในหลายหลากเวอร์ชั่นด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดได้มีออกมาจำหน่ายตั้งแต่ปี 2021 …หลายต่อหลายทศวรรษในการผลิตและสร้างสรรค์ด้วยความรักโดยครอบครัว Harrison สำหรับ All Things Must Pass เวอร์ชั่นล่าสุดปี 2021 ที่ได้รับการรีมิกซ์จากเทปต้นฉบับอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตอบสนองความปรารถนาที่มีมายาวนานของ George Harrison อำนวยการสร้างโดย Dhani Harrison และมิกซ์เสียงโดย Paul Hicks วิศวกรเจ้าของรางวัล GRAMMY® – 3 รางวัล (The Beatles, The Rolling Stones, John Lennon) การผสมผสานใหม่นี้เปลี่ยนโฉมอัลบั้มด้วยการยกระดับเสียง – ทำให้ได้เสียงที่สดใส เต็มอิ่ม และดียิ่งขึ้นกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้า

Dhani Harrison ผู้เป็นบุตรสาวของ George Harrison ได้กล่าวว่า  “ตั้งแต่สเตอริโอมิกซ์เพลงไตเติ้ลครบรอบ 50 ปีของอัลบั้ม All Things Must Pass ที่เป็นตำนานของคุณพ่อในปี 2020 เพื่อนรักของฉัน Paul Hicks และตัวฉันเอง ยังคงคุ้ยกองเทปเท่าภูเขาเพื่อกู้คืน (restore) และนำเสนอส่วนที่ยังคงเหลือของเพลงรีมิกซ์ใหม่ดังกล่าว รวมทั้ง expanded edition ในรูปแบบต่างๆ โดยที่ All Things Must Pass “50thAnniversary Edition” จะวางจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้:

Uber Deluxe Edition: ผลิตจำนวนจำกัดนำเสนอการผสมผสานใหม่อันน่าทึ่งของอัลบั้มคลาสสิกโดย Paul Hicks มิกเซอร์/วิศวกรเจ้าของรางวัลแกรมมี่อวอร์ด ควบคุมงานโดยผู้อำนวยการสร้าง Dhani Harrison ซึ่งรวมถึงอัลบั้มในรูปแบบ LP – 8 แผ่น และ CD/BR – 5 แผ่น ซึ่งบรรจุในกล่องไม้ที่ออกแบบโดยช่างฝีมือ มาพร้อมกับหนังสือสองเล่มที่ออกแบบอย่างหรูหรา เพื่อแสดงความเคารพต่อความรักในการจัดสวนและธรรมชาติของ George Harrison

ในชุดประกอบด้วย 70 แทร็ก รวมถึงการบันทึกเดโม 47 รายการ, เซสชันที่ถูกตัดออก และสตูดิโอแจม ซึ่งรวมแล้ว 42 รายการ ที่ยังไม่เคยเผยแพร่ก่อนหน้านี้ แผ่นดิสก์ Blu-ray ประกอบด้วยระบบเสียงสเตอริโอความละเอียดสูง (hi-res stereo), ระบบเสียงเซอร์ราวด์ 5.1 และระบบเสียง Dolby Atmos ของอัลบั้มหลัก รวมทั้งแบบจำลองของโปสเตอร์อัลบั้มต้นฉบับ

Super Deluxe Edition LP: ประกอบด้วยบทเพลง 70 แทร็กใน LP จำนวน 8 แผ่น (180g) รวมถึง 47 การบันทึกเดโม (42 ยังไม่ได้เผยแพร่ก่อนหน้านี้) เซสชันที่ถูกตัดออก และสตูดิโอแจม ทั้งหมดนี้อยู่ในสลิปเคสที่สวยงาม สมุดภาพ 60 หน้า ดูแลจัดการโดย Olivia Harrisonพร้อมภาพที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน และของที่ระลึกจากยุคนั้น: เนื้อเพลงที่เขียนด้วยลายมือ, รายการไดอารี่, บันทึกย่อของสตูดิโอ, tape box images, แทร็กต่อแทร็กที่ครอบคลุม และอื่นๆ อีกมากมาย กระทั่งแบบจำลองของโปสเตอร์อัลบั้มต้นฉบับ

Super Deluxe Edition CD: รวบรวมบทเพลง 70 แทร็กไว้บนซีดี 5 แผ่น รวมถึงบันทึกเดโม 47 รายการ (42 รายการที่ยังไม่ได้เผยแพร่ก่อนหน้านี้) เซสชันที่ถูกตัดออก และสตูดิโอแจมทั้งหมดอยู่ในกล่องสลิปเคสที่สวยงาม แผ่นดิสก์ Blu-ray ที่นำเสนออัลบั้มหลักในระบบเสียงสเตอริโอความละเอียดสูง (hi-res), ระบบเสียงเซอร์ราวด์ 5.1 และระบบเสียง Dolby Atmos คอลเลกชันประกอบด้วยสมุดภาพที่สวยงาม 56 หน้า ซึ่งดูแลจัดการโดย Olivia Harrison พร้อมด้วยภาพที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน และเนื้อเพลงที่เขียนด้วยลายมือ, รายการไดอารี่, บันทึกย่อของสตูดิโอ, tape box images, แทร็กต่อแทร็กที่ครอบคลุม และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีแบบจำลองของโปสเตอร์อัลบั้มต้นฉบับ 

5LP (180g) Deluxe Edition: ประกอบด้วย LPจำนวน 5 แผ่น (180g) ที่ทำการรีมิกซ์ใหม่ทั้งหมดโดย Paul Hicks ถ่ายทอดลงบนแผ่น LPจำนวน 5 แผ่น โดยที่ LP – 3 แผ่นแรกประกอบด้วยบทเพลงในอัลบั้มหลัก ตามมาด้วย LP อีก 2 แผ่นที่มีบทเพลง 17 แทร็กของการบันทึกเดโม, เซสชันที่ถูกตัดออก และสตูดิโอแจมประกอบด้วยส่วนแทรก 8 หน้าพร้อมรูปถ่ายและโน้ตจาก Dhani Harrison และ Paul Hicks ในการรีมิกซ์อัลบั้ม

3CD Deluxe Edition: ที่ทำการรีมิกซ์ใหม่ทั้งหมดโดย Paul Hicks และมีอัลบั้มหลักใน Discs 1 & 2 ตามด้วย Disc 3 ที่มี 17 แทร็กของการบันทึกการสาธิต, เซสชันที่ถูกตัดออก และสตูดิโอแจม บรรจุอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมพร้อมโปสเตอร์ต้นฉบับในเวอร์ชันที่ลดขนาดลง ประกอบด้วยหนังสือเล่มเล็ก 20 หน้าพร้อมรูปภาพ บทนำ และโน้ตจาก Dhani Harrison และ Paul Hicks เกี่ยวกับการรีมิกซ์อัลบั้ม

3LP (180g): บรรจุอยู่ในกล่องทรงบาง รวมถึงโปสเตอร์ และแผ่นแทรก 8 หน้า พร้อมรูปถ่ายและโน้ตจาก Dhani Harrison และ Paul Hicks ในการรีมิกซ์อัลบั้ม

E-Commerce Exclusive Edition 3LP (180g):ปั้มแผ่นบนไวนิลสีเขียวและสีดำจำนวน 3 แผ่น บรรจุในกล่องเพรียวบาง รวมถึงโปสเตอร์ และส่วนแทรก 8 หน้า พร้อมรูปถ่ายและโน้ตจาก Dhani Harrison และ Paul Hicks ในการรีมิกซ์อัลบั้ม

Standard 2CD: นำเสนอรีมิกซ์ใหม่ของอัลบั้มต้นฉบับที่อยู่ในดิจิแพ็ก (digipak) นอกจากนี้ยังมีโปสเตอร์ต้นฉบับที่ด้านหลังมีโน้ตโดย DhaniHarrison และ Paul Hicks เกี่ยวกับการรีมิกซ์อัลบั้ม

อัลบั้ม All Things Must Pass นับว่า มีอิทธิพลและเบ่งบานมากขึ้นในช่วงครึ่งศตวรรษนับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 1970 ซึ่งรวมถึงการเข้าชิงใน GRAMMY® Hall of Fame และการรวมอยู่ใน “The 100 Best Albums of All Time” ของ The Times of London และ Rolling Stone’s 2020 รายชื่อ “500 อัลบั้มยอดนิยมตลอดกาล” 

50th Anniversary Credits:
Executive Producer: Dhani Harrison
Product Producer: David Zonshine
2020 Re-Mixed & Produced in Stereo & Atmos by: Paul Hicks
Creative Director: Dhani Harrison
Book Curated By: Olivia Harrison and Rachel Cooper
Art Direction: Darren Evans
Archive Research: Don Fleming, Richard Radford and Ryan Williams

“All Things Must Pass” เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ของ Georgew Harrison นักดนตรีร็อกชาวอังกฤษ ออกจำหน่ายเป็น 3 อัลบั้ม/ชุดในเดือนพฤศจิกายน 1970 (พ.ศ.2513) นับเป็นผลงานเดี่ยว (solo work) ชุดแรกของ George Harrison หลังจากการแยกวงของเดอะบีทเทิลส์ ในเดือนเมษายนปีนั้น 

All Things Must Pass ประกอบด้วยซิงเกิ้ลฮิต “My Sweet Lord” และ “What Is Life” รวมถึงเพลงอย่าง “Isn’t It a Pity” และเพลงไตเติ้ลที่ถูกมองข้าม เพราะรวมอยู่ในการเผยแพร่โดย The Beatles อัลบั้มนี้สะท้อนถึงอิทธิพลของกิจกรรมทางดนตรีของ George Harrison กับศิลปินต่างๆ เช่น Bob Dylan, the Band, Delaney & Bonnie and Friends และ Billy Preston ในช่วงปี 1968–70 และการเติบโตของเขาในฐานะศิลปินนอกเหนือจากบทบาทสนับสนุนจากอดีตเพื่อนร่วมวงอย่าง John Lennon และ Paul McCartney 

“All Things Must Pass” นำเสนอเสียงกีตาร์สไลด์อันเป็นเอกลักษณ์ของ George Harrisonและธีมจิตวิญญาณที่นำเสนอตลอดงานเดี่ยวที่ตามมาของเขา การเปิดตัวไวนิลดั้งเดิมประกอบด้วย แผ่นเสียง 2 แผ่น และแผ่นที่สามเป็นการร่วมแจมอย่างไม่เป็นทางการ (informal jams) ในชื่อ Apple Jam 

นักวิจารณ์หลายคนตีความภาพปกอัลบั้มที่ Barry Feinstein เป็นผู้ถ่ายภาพ โดยจัดให้George Harrison รายล้อมด้วยการ์เดนโนมส์(garden gnomes) 4 ตัว ซึ่งเปรียบเป็นคำแถลง เกี่ยวกับความเป็นอิสระของเขาจากเดอะบีทเทิลส์

กระบวนการจัดทำเริ่มขึ้นที่ EMI Studios ในลอนดอน เดือนพฤษภาคม 1970 โดยมีการผสมเสียงส่วนเกิน และผสมเสียงต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคม บรรดานักดนตรีจำนวนมากที่ได้เข้ามาให้การสนับสนุน ได้แก่ Eric Clapton และสมาชิกวง Delaney & Bonnie’s Friends (ซึ่ง 3 คนร่วมกันก่อตั้ง Derek and the Dominos ร่วมกับ Clapton) ในระหว่างการบันทึกเสียง เช่นเดียวกับ Ringo Starr, Gary Wright, Billy Preston, Klaus Voormann, John Barham , Badfinger และ Pete Drake 

All Things Must Pass ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ และประสบความสำเร็จในการเปิดตัว โดยครองอันดับหนึ่งบนชาร์ตทั่วโลกเป็นเวลานาน โดยมี Phil Spector เป็น Co-producer  ใช้เทคนิคการผลิต ‘Wall of Sound’ ของเขา เพื่อให้ได้เอฟเฟกต์ที่โดดเด่น Ben Gerson แห่งวง Rolling Stone  บรรยายเสียงนี้ว่า “WagnerianBrucknerian, ดนตรีแห่งยอดเขาและขอบฟ้าอันกว้างใหญ่” 

Richard Williams แห่งวง Melody Maker เปรียบเทียบอัลบั้มนี้กับบทบาทแรกของ Greta Garboในภาพการพูดคุย (talking picture) และประกาศว่า: “Garbo talks! – Harrison is free!”ตามคำกล่าวของ Colin Larkin ซึ่งเขียนไว้ใน Encyclopedia of Popular Music ฉบับปี 2011 ว่า All Things Must Pass ได้รับ “การจัดอันดับโดยทั่วไป” (generally rated) ว่าเป็นอัลบั้มเดี่ยวที่ดีที่สุดของ Beatles ในอดีตทั้งหมด (the best of all the former Beatles’ solo albums)

ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต George Harrison ดูแลแคมเปญการออกอัลบั้มใหม่เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของการออกอัลบั้ม All Things Must Pass ซึ่งหลังจากการออกใหม่นี้ สมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งอเมริกา ( Recording Industry Association of America) ได้รับรอง six-times platinum สำหรับอัลบั้มนี้ นี่จึงเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของนักวิจารณ์ 

All Things Must Pass อยู่ในอันดับที่ 79 ใน “The 100 Best Albums of All Time” ของ The Times ในปี 1993 ในขณะที่ Rolling Stone ได้จัดให้อยู่ในอันดับที่ 368 ในการอัปเดต “The 500 Greatest Albums of All Time” ของนิตยสารในปี 2020 กระทั่งในปี 2014 “All Things Must Pass” ก็ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศแกรมมี่ (Grammy Hall of Fame)

George Harrison นั้นได้รับการเลี้ยงดูแบบคาทอลิก ทว่าตัวเขาได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาฮินดูในภายหลัง ทั้งนี้ความเชื่อในศาสนาฮินดูของเขาส่งผลอย่างมากต่องานของตัวเขา ทั้งในฐานะบีทเทิลและในฐานะศิลปินเดี่ยว 

หลังจากที่เขาเริ่มสนใจเรื่องจิตวิญญาณของอินเดีย ปรมาจารย์ฮินดูสามคน (Hindu gurus) ได้แก่ ศรี ยุกเตศวร กิริ (Sri Yukteswar Giri), ศรี ปรมาหรรษา โยคานันทะ (Sri ParamahansaYogananda) และ ศรี มหาวตาร บาบาจิ (Sri Mahavatar Babaji) ได้ปรากฏตัวบนหน้าปกseminal album  ของ Fab Four อัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band หลังจากที่ The Beatles แยกวงกัน George Harrison ได้บันทึกเสียงเวอร์ชันหนึ่งของ Hari Krishna Mantra และใช้ภาพเทพเจ้าฮินดู “องค์กฤษณะ” บนปกอัลบั้มของเขา

โดยที่การแสดงออกทางจิตวิญญาณของGeorge Harrison ที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็คือ “My Sweet Lord” เนื้อเพลงมีทั้งเนื้อหาที่ร่วมใจและเร้าใจ ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับความปรารถนาของ George ที่จะใกล้ชิดพระเจ้า และรวมถึงคำที่ตัดกันของคำว่า “Hallelujah ” ของชาวยิว/คริสเตียน ซึ่งแปลว่า “สรรเสริญพระเจ้า” (Praise God) และคำในภาษาฮินดูว่า “ฮะเร กฤษณะ” (Hare Krishna) ซึ่งหมายถึงการอุทิศตนแด่องค์พระกฤษณะ

การใช้คำศัพท์จากศาสนาคริสต์ และฮินดูของGeorge อาจทำให้บางคนมองว่า เป็นการไม่ลงรอยกัน หรือ ดูหมิ่นศาสนา ทั้งนี้ตามที่ระบุในหนังสือ “While My Guitar Gently Weeps” การเลือกเนื้อเพลงของ George ได้รับการออกแบบเพื่อเรียกร้องให้มีจิตวิญญาณ โดยไม่มีการแบ่งแยกนิกาย 

เพลงนี้เป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาทางศาสนาสากลที่ต้องการใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งหมายความว่า ผู้คนจากหลายศาสนาสามารถใช้เป็นเพลงสวดได้ หนังสือชี้ให้เห็นว่า รากเหง้าทางศาสนาของเพลงมีมากกว่าแค่บทเพลง เนื่องจาก “My Sweet Lord” ใช้การเปลี่ยนแปลงคอร์ดบางส่วนแบบเดียวกับเพลงสวดคริสเตียนยอดนิยม “Oh Happy Day”

…มาสู่ คดีความที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี

น่าเศร้าทีเดียวที่ George Harrison จะประสบปัญหาในความคล้ายคลึงกันระหว่างบทเพลง”My Sweet Lord” กับอีกเพลงหนึ่ง – “He’s So Fine” ของ Chiffons ซึ่งจากข้อมูลของ AllMusicและ Stereogum ผู้เผยแพร่เพลง “He’s So Fine” – Bright Tunes ได้ฟ้อง George ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ 

เนื่องจาก George และ Phil Spector – โปรดิวเซอร์ของเพลง ต่างก็ทำงานในวงการเพลงในช่วงเวลาที่เกิร์ลกรุ๊ปอย่าง Chiffons กำลังเติบโตในเชิงพาณิชย์ จึงเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจได้รับอิทธิพลจากเพลง “He’s So Fine” โดยไม่ได้ตั้งใจ

Exit mobile version