What HI-FI? Thailand

รีวิว CANTON Reference 3K

3-way Floorstanding Speakers

Test Report : มงคล อ่วมเรืองศรี

            ‘CANTON’ แบรนด์เนมของลำโพงสัญชาติเยอรมัน ซึ่งโดยแท้จริงแล้วชื่อนี้มาจากรากศัพท์ของคำ 2 คำประกอบกัน – ‘Cantare’ : ซึ่งเป็นภาษาลาติน มีความหมายถึง “To Sing” รวมเข้ากับคำว่า ‘Ton’ : ในภาษาเยอรมัน มีความหมายถึง “Musical Tone” กลายเป็นความหมายที่บ่งบอกในเรื่องของ ‘การส่งเสียงเพลงและดนตรีอันไพเราะ’ สะท้อนย้อนไปได้ถึงภาระหน้าที่ของลำโพงชั้นดียี่ห้อนี้ ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1972, หรือกว่า 40 ปีมาแล้ว โดยความร่วมมือร่วมใจกันของ Hubert Milbers, Otfried Sandig, Günther Seitz และ Wolfgang Seikritt ซึ่งต่างประสบการณ์ ต่างความรู้ความเชี่ยวชาญในแวดวงการทำงานได้ก่อตั้ง ‘CANTON’ ขึ้นมา สืบเนื่องจากแนวคิดที่เห็นพ้องต้องกันในการสร้างสรรค์ลำโพงที่ส่งมอบเสียงแบบ “Pure Music” ได้อย่างในอุดมคติ

            ปัจจุบัน Günther Seitz รับหน้าที่ CEO ของบริษัท และ Frank Göbl ทำหน้าที่ Technical Director ให้แก่ CANTON และยังทำหน้าที่ดูแลการออกแบบซีรีส์ระดับ Flagship ของ CANTON อีกด้วย ‘CANTON’ ระบุว่า ระบบลำโพงของบริษัททุกรุ่น-ทุกซีรี่ส์ล้วนคำนึงถึงปัจจัยความคิดของทั้งเพศหญิงและเพศชายมาเป็นประเด็นสำคัญร่วมกันของการออกแบบ โดยที่ประเด็นความสวยงาม ดูดีมีสไตล์ กะทัดรัด น่ารัก เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงให้ความใส่ใจ ในขณะที่เรื่องของเรี่ยวแรง พละกำลัง และคุณภาพเสียงนั้นนับเป็นประเด็นที่ผู้ชายมุ่งให้ความสนใจ ดังนั้น ‘CANTON’ จึงรวมเอาความสวยงาม-ความลงตัวของขนาดมิติตัวตู้ลำโพงที่น่ามองเข้ากับพลังและคุณภาพแห่งเสียงที่รับฟัง ดุจดั่งเป็นลำโพงในอุดมคติ

            ‘CANTON’ ออกจำหน่าย ‘Subwoofer Satellite System’ เป็นผลงานชิ้นแรกสุดในปี ค.ศ. 1979 จากนั้นในปีถัดมา ‘Ergo Floor-Standing Speaker’ ก็ตามติดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ซีรีส์ชุดแรกสุดของ CANTON ต่อมาในปี ค.ศ. 1983, Pullman Set 300 เป็นลำโพงรถยนต์ที่กษัตริย์ ฮวน คาร์ลอส แห่งสเปนทรงเลือกใช้ติดตั้งในรถยนต์เปิดประทุนส่วนพระองค์ กระทั่งในปี ค.ศ. 1989, ‘CANTON’ ก็ได้ลงทุนสร้าง ‘Anechoic Chamber’ เป็นของตัวเอง

‘CANTON’ ออกจำหน่าย Karat Series เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก โดยมี “Karat Reference 2 DC” เป็นรุ่นเรือธงระดับ Masterpiece ประดับไว้ในวงการ และแล้วในปี ค.ศ. 1999, ทาง ‘CANTON’ ก็ได้สร้างความน่าทึ่งให้เป็นที่ปรากฏต่อแวดวงลำโพงไฮเอนด์ โดยเป็นบริษัทแรกสุดที่เปิดตัวลำโพงแบบไร้สายเต็มระบบ (Fully Wireless Hi-Fi Speakers) แสดงให้เห็นถึงแนวคิดอันก้าวหน้า และรุดหน้าในเทคโนโลยี รวมทั้งความพิถีพิถันในสมรรถนะและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

            ปัจจุบัน ‘CANTON’ มีผลิตภัณฑ์ลำโพงครอบคลุมอยู่ใน 5 หมวดหมู่หลักๆ :- Reference, Hi-Fi, Home Cinema, Pro House และ Wireless Hi-Fi ครอบคลุมเป้าประสงค์เพื่อการดูหนัง และการฟังเพลงอย่างเป็นการเฉพาะเหมาะเจาะ รวมทั้งลำโพงเพื่อการใช้งานอย่างเป็นอเนกประสงค์ โดยที่ในแต่ละหมวดหมู่นั้นก็แยกย่อยลงไปในอีกหลายต่อหลายซีรีส์

โดยที่ Reference K Series นับเป็นซีรีส์ในระดับ Flagship ดีที่สุดของ CANTON ซึ่งมี Frank Göbl ซึ่งเป็น Technical Director ทำหน้าที่ผู้ออกแบบในทุกรุ่นของซีรีส์นี้ ที่ประกอบด้วย Reference 1 K, Reference 3 K, Reference 5 K, Reference 7 K, Reference 9 K และ Reference 50 K ที่เป็นลำโพงเซ็นเตอร์ระดับอ้างอิง โดยที่ Reference 1 K, Reference 3 K, Reference 5 K และ Reference 7 K จะเป็นระบบลำโพงแบบตั้งวางพื้น หรือ Floorstander ส่วน Reference 9 K นั้นเป็นลำโพงวางขาตั้งรุ่นเดียวโดดๆ ของ Reference K Series

            ทั้งนี้ทั้งนั้น Reference 3 K, Reference 5 K และ Reference 7 K ได้รับการออกแบบให้เป็นลำโพงตั้งวางพื้นโดยตรงที่ใช้พื้นที่ตั้งวางไม่มากนัก การใช้งานทำได้สะดวก เหมาะสมลงตัวกับห้องฟังขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ได้อย่างสบาย ในขณะที่ Reference 9 K นั้นเป็นลำโพงวางขาตั้งที่พร้อมทำหน้าที่ในห้องฟังขนาดเล็ก และยังสามารถใช้งานเป็นดั่งลำโพงเซอราวด์ได้อีกด้วย สำหรับท่านที่ต้องการจัดชุดใช้งาน Reference K Series ในระบบโฮมเธียเตอร์ ส่วน Reference 1 K นี่จะเหมาะเจาะกับห้องฟังขนาดใหญ่โดยเฉพาะ

คุณลักษณ์

            Reference 3 K มีขนาดมิติตัวตู้ กว้าง 33.5 ซม. x สูง 115 ซม. x ลึก 49.0 ซม. น้ำหนักตัว 58 กก. ได้รับการออกแบบให้เป็นลำโพงตู้เปิด (Bass-Reflex) แบบ 3-ทาง  สามารถให้การตอบสนองความถี่เสียงในช่วงตั้งแต่ 18-40,000 เฮิรตซ์ ด้วยระดับค่าความไวเสียง 89 ดีบี กำหนดจุดตัดแบ่งช่วงความถี่ไว้ที่ 200 กับ 3,000 เฮิรตซ์ ตัวขับเสียงวูฟเฟอร์ขนาด 220 มม. (10 นิ้ว) จำนวน 2 ตัวทำงานควบคู่กัน ตัวกรวย (Cone) เป็นวัสดุ Ceramic Tungsten พร้อมขอบยึดรอบตัวกรวยแบบ Wave Surround Technology (ลิขสิทธิ์เฉพาะของ CANTON) ในขณะที่ตัวขับเสียงมิดเรนจ์มีขนาด 180 มม. (7 นิ้ว) ตัวกรวย (Cone) เป็นวัสดุ Ceramic Tungsten พร้อมขอบยึดรอบตัวกรวยแบบ Wave Surround Technology เช่นเดียวกับวูฟเฟอร์

            สำหรับ Ceramic Tungsten Technology ที่ CANTON พัฒนาขึ้นมานี้มีโครงสร้างหลักเป็นวัสดุเซรามิก (Ceramic Structure) ที่มีอนุภาคของทังสเตน (Tungsten Particles) แทรกตัวอยู่ ส่งผลให้ตัวกรวย Ceramic Tungsten นี้ดียิ่งกว่าตัวกรวยที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียม ทั้งในแง่ของเบาต่อน้ำหนักมวล และ Internal Damping ดังนั้น CANTON จึงเลือกที่จะใช้ทั้งวูฟเฟอร์และมิดเรนจ์ที่ตัวกรวยเป็นแบบ Ceramic Tungsten นี้ จึงเป็นที่แน่นอนว่า ช่วงย่านเสียงความถี่ต่ำและช่วงย่านความถี่สูงย่อมจะมีความกลมกลืนกัน ให้ความราบเรียบระรื่นต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน

            ในส่วนของทวิตเตอร์นั้นเป็นแบบ Aluminium Oxide Ceramic Dome ขนาด 25 มม. (1 นิ้ว) ค่าความต้านทานอยู่ระหว่าง 4-8 โอห์ม อัตรากำลังขับที่เหมาะสม 300 วัตต์ สามารถรองรับอัตรากำลังขับได้สูงสุด 600 วัตต์ พร้อมด้วยคุณลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวที่ผู้ใช้สามารถเลือกระดับความเข้มของเสียง ช่วงความถี่เสียงกลางได้ 3 ระดับ (-1.5 dB ; 0 dB ; +1.5 dB) และช่วงความถี่สูงได้อีก 3 ระดับ (-1.5 dB ; 0 dB ; +1.5 dB) ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังตัวตู้ พร้อมด้วยขั้วเสียบต่อสายลำโพงแบบ Gold Plated Bi-Wiring / Bi-Amping Screwclamp Terminals ส่วนแผงหน้ากากลำโพง (Fabric Grill) ยึดติดด้วยระบบแม่เหล็ก (Magnetic Mount) ทำให้เวลาถอดหน้ากากออกแล้วเห็นเป็นแผงหน้าลำโพงสวยงามชวนมอง

ทางด้านตัวตู้ลำโพงนั้น ทาง CANTON ระบุว่า เป็นแบบ Solid Cabinet Design ด้วยการใช้วัสดุ Multi-Layer Laminate คุณภาพสูงที่มีความหนาถึง 50 มม. อีกทั้งผนังตัวตู้ด้านข้างยังได้รับการขึ้นรูปให้มีลักษณะเรียวโค้ง (Curved Baffle) ส่งผลให้ได้มาซึ่งรูปทรงตัวตู้ในลักษณะของ Bow Shape อันแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้รับการคาดโครงคร่าวภายในตัวตู้อย่างพิถีพิถันตรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ทำให้ตัวตู้มีความเสถียรสูงและน้ำหนักมากทีเดียว

            อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าลักษณะพื้นผิวที่เป็น “ทรงเรียวโค้ง” จะมีค่าการรับแรงกดได้มากกว่าลักษณะพื้นผิวแนวตรง ด้วยการที่ลักษณะพื้นผิวทรงโค้งจะมีการกระจายตัวหรือเฉลี่ยแรงกดออกไปทางด้านข้างทั้งสองด้าน ผนังตัวตู้ของ Reference 3 K จึงมีค่าความแข็งแกร่งทางโครงสร้างของตัวตู้ที่สูงมาก อีกทั้งผนังทรงเรียวโค้งยังทำให้ไร้ซึ่งด้านขนาน จึงส่งผลช่วยลด “คลื่นสั่นค้าง” (Standing Wave) ของโครงสร้างตัวตู้ลงไปอย่างมากด้วย เพราะด้านที่ขนานกันจะส่งผลสะท้อนของคลื่นเสียงไป-มาไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเป็นผนังตู้ลำโพงด้วยแล้วก็จะทำให้ผนังตัวตู้นั้นแหละส่งเสียงแทรกซ้อนปนปลอมออกมาผสมกับคลื่นเสียงที่เปล่งออกมาจากตัวไดรเวอร์ กลายเป็นอาการคัลเลอร์ที่ยากต่อการแก้ไข คุณภาพเสียงที่ได้ก็จะขาดความจริงแท้แห่งต้นฉบับเสียงไป

            ระบบการทำงานตัวตู้ที่สูงเมตรกว่าๆ ของ Reference 3 K ยังแปลกแตกต่างไปจากระบบลำโพงแบบตู้เปิดหรือ Bass-Reflex โดยทั่วไป แม้ว่าจะเป็นระบบการทำงานตัวตู้แบบ Bass-Reflex ที่เหมือนจะไม่มีอะไรซับซ้อนก็ตามที โดยแทนที่ “ท่อเปิด” ระบายเสียงเบสของ Reference 3 K จะติดตั้งอยู่ทางด้านหน้าตัวตู้ (Front-Ported) หรือว่า ด้านหลังตัวตู้ (Rear-Ported) เช่นที่เคยคุ้นกัน กลับถูกนำไปติดตั้งไว้ทางด้านล่างของตัวตู้ ในลักษณะที่ CANTON นั้นเรียกได้ว่า Bass-Guide® Bass Reflex System โดยมีส่วนแท่นฐานวางลำโพงหรือ Plinth ทำหน้าที่เป็นส่วนควบคุมทิศทางการเคลื่อนตัวของมวลอากาศที่บริเวณปลายปากท่อเปิดนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

            Reference 3 K จึงสามารถหาตำแหน่งตั้งวางได้ง่ายขึ้น หากจำเป็นจะต้องตั้งวางชิดผนังหรือเข้าใกล้มุมห้องก็ไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากสามารถหาตำแหน่งตั้งวางที่อยู่ห่างผนังทุกด้านได้ก็สมควรกระทำ… ที่สำคัญ CANTON ยังได้ทำการพัฒนาสายนำสัญญาณที่ให้สำหรับการเดินสายภายในเชื่อมต่อจากขั้วเสียบต่อสายลำโพงไปยังแผงวงจรตัดกรอง / แบ่งช่วงความถี่เสียง และจากแผงวงจรตัดกรอง / แบ่งช่วงความถี่เสียงไปยังตัวขับเสียงต่างๆ สำหรับ Reference 3 K โดยเฉพาะ ด้วยการใช้ Special Core ที่มีโครงสร้างตัวสายเป็นแบบ Six Twisted Individual Conductors เพื่อการนำพาสัญญาณที่ครบถ้วน และราบเรียบต่อเนื่อง

ผลการรับฟัง

            ขอชี้แจงสักนิดครับว่า สถานที่รับฟังของผมนั้น ได้รับความอนุเคราะห์อย่างมากจากทางคุณหนุ่ม แห่ง Theater House ให้ใช้ “ห้องเทา” ในการรับฟัง ทั้งยังอนุญาตให้ใช้ชุดเครื่องเสียงที่ Setup อยู่ในห้องนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยการรับฟังครั้งนี้ มีตำแหน่งตั้งวาง “Reference 3 K”  ดังนี้ครับ ระยะห่างจากผนังหลังลำโพง 66.5 ซม. ห่างจากผนังด้านข้าง 47.5 ซม. ส่วนตำแหน่งนั่งฟังจะอยู่ห่างจากแนวเส้นตั้งวางระบบลำโพง 220 ซม. โดยประมาณ และมีแนวโท-อินเพียงเล็กน้อยประมาณ 5 องศา ครับ

            “Reference 3 K” ได้ส่งมอบเสียงเพลงและดนตรีได้อย่างอลังการสมความเป็นลำโพงในระดับเรือธง …สวรรค์มาลอยอยู่ตรงหน้านี่เลยเชียวล่ะครับ ได้ฟังแล้วช่างน่าชื่นใจยิ่งนัก โดยเฉพาะรายละเอียดเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่อุบัติขึ้นอย่างปุ๊บปั๊บ ฉับพลัน ไม่เพียงแค่ประกายเปล่งปลั่งของเสียงนะครับ การจางหายไปของเสียงต่างๆ ก็ถูกจาระไนออกมาได้ดีมาก ฟังสมจริงอย่างเป็นธรรมชาติ การแยกแยะระยะห่าง-ช่องว่างระหว่างชิ้นดนตรีก็มีความจะแจ้งมาก ให้ระดับความลึกที่เพิ่มขึ้นกว่าธรรมดาจากที่เคยรับฟัง รวมถึงความอวบอิ่มมีน้ำมีนวล และความมีตัวตนของทุกสรรพเสียง สามารถจำแนกรายละเอียดเสียงต่ำๆ อย่างลีลาการโซโลกลองได้ชัดเจนมาก ทั้งยังให้ความกลมกล่อม ละมุนละไม มีสภาพมวลบรรยากาศ (Airy) การบ่งบอกความลึกในเวทีเสียงก็ทำได้ดีมาก

            ต้องบอกตรงๆ ครับว่า “Reference 3 K” ช่างอิ่มเอิบ สดใส และฉับไวมากจริงๆ ครับ พร้อมกับสำแดงให้รับรู้ถึงสมรรถนะในการส่งมอบไดนามิกอันน่าประทับใจจริงๆ ให้ความละเมียดละไมของเสียงที่ดีมาก อ่อนหวาน กังวาน นวลนุ่ม และให้ความมีตัวตน เป็นลักษณะน้ำเสียงที่เปี่ยมในความมีชีวิตชีวา “Reference 3 K” นี่ถึงขั้นเรียกได้ว่า –ให้ออกมาอย่างครบเครื่อง- ทั้งเรื่อง “แรงปะทะ” (Impact), “น้ำหนัก” (Weight) และ “ความไหลลื่น” (Dynamic) พร้อมๆ กับสร้างความประทับใจในสุ้มเสียงที่เนียน ละเอียด สดใส ควบคู่ความฉับพลันทันใดกันเลยทีเดียว รับฟังรายละเอียดของเสียงเครื่องเคาะจังหวะแปลกๆ ได้ทุกเม็ดไม่มีพลาด ทั้งยังแยกแยะระยะความลึก-ใกล้-ไกลของแต่ละชิ้นดนตรีได้ดีมาก เหลื่อมไปทางซ้ายนิด เยื้องไปทางขวาหน่อย ไม่มีอาการซ้อนทับกัน

            การรับฟังจากการแสดงสด “Reference 3 K” ส่งมอบบรรยากาศของฮอลล์ หรือสถานที่ที่ใช้แสดงนั้นได้อย่างอบอวลมาก เสียงปรบมือของผู้ชมเวลาชื่นชอบถูกใจในการแสดง ช่างยิ่งใหญ่โอฬาร !! และเกลี่ยระยะชัดลึกแผ่ออกไปไกลมาก ฟากซ้ายจรดฟากขวา ทั้งไม่จับตัวเป็นปึกเป็นก้อนนะครับ เรียกว่าแทบจะเห็นมือไหวๆ เลยทีเดียว อีกทั้งยังทำให้รับรู้ได้ถึง “มวล” ที่มากขึ้น น้ำหนักเสียงเป็นตัวเป็นตนชัดเจนขึ้นทั้งเสียงร้องและของชิ้นดนตรี 

            ลักษณะเสียงที่ได้รับฟังจาก “Reference 3 K” นั้นมีความฉับไว ให้ความกระจ่างสดใสในช่วงย่านเสียงสูง พร้อมด้วยหางเสียงที่มีประกายทอดตัวยาวไกล ช่วงย่านเสียงกลางนั้นเล่าก็ให้แยกแยะรายละเอียดได้ดี ช่วงย่านเสียงต่ำเก็บตัวได้ไวไม่รุ่มร่าม ยืดขยายลงไปได้ลึกล้ำ ปริมาณเสียงเบสหนักแน่น และเปี่ยมในพลังกระแทกกระทั้น ให้การรับฟังเสียงเบสได้กระชับในจังหวะจะโคน และยังสามารถติดตามท่วงทีลีลาของการไล่คอร์ดเบสได้อย่างมันส์ในอารมณ์ แยกแยะเสียงเบสกับกลองกระเดื่องได้ด้วยน้ำหนักเสียงที่ต่างกันชัดเจน ทั้งยังสามารถทำให้สัมผัสได้ถึงสภาพบรรยากาศ (Atmosphere) ในสถานที่ที่บันทึกเสียงนั้นๆ แสดงถึงประสิทธิภาพโดยรวมของทั้งไดรเวอร์ที่ใช้และครอสโอเวอร์ที่ออกแบบอย่างดี

            “Reference 3 K” ทำให้รับรู้ได้ถึงความลึกของเวทีเสียง และสนามเสียงที่แผ่กว้าง-แยกแยะแถวชั้น-ตำแหน่งเสียงที่ไม่ซ้อนทับกัน และไม่มีเสียงใดๆ ที่ล้ำหน้าเกินกว่าแนวตำแหน่งตั้งวางลำโพงออกมา (Laid Back) บรรยากาศของโถงแสดงดนตรีเป็นอีกสิ่งที่ชัดเจนมาก ให้การรับรู้ถึงความโอฬารของสถานที่บันทึกเสียง พร้อมด้วยความกังวานของเสียงช่วยให้การรับฟังมีความอบอวลของมวลอากาศอย่างสมจริงในเหตุการณ์ที่รับฟัง

            “Reference 3 K” ได้สำแดงข้อดีสำคัญของการใช้มิดเรนจ์และวูฟเฟอร์ที่เป็น Ceramic Tungsten Technology เหมือนกัน นั่นก็คือ “ความกลมกลืนกัน” ของช่วงย่านเสียงกลาง / ต่ำที่เป็นเนื้อเสียงเดียวกันอย่างนวลเนียนไร้ตะเข็บช่วงรอยต่อ (Seamless) ทำให้รับฟังรายละเอียดต่างๆ ในช่วงย่านเสียงกลางที่ให้ความมีมิติ มีตัวตน กลมมน มีเนื้อมีหนัง ฟังเพลงร้องได้สบายใจให้ความเพลิดเพลิน และยังสอดประสานเข้ากับช่วงภาระขับขานของทวีตเตอร์ได้อย่างเหมาะเจาะ เสียงกีตาร์-เสียงเปียโน-เสียงไวโอลิน-เสียงเครื่องสายทั้งหลายเรียกได้ว่าแทบจะมองเห็นเป็นเส้นสายที่กำลังสั่นไหวเลยเชียวละ

            ทวิตเตอร์แบบ Aluminium Oxyd Ceramic Dome ขนาด 25 มม. (1 นิ้ว) ของ “Reference 3 K” สามารถส่งมอบบุคลิกเสียงที่สดใส ฉับไว เปล่งประกาย ให้ความกังวานของปลายหางเสียงสูงที่แจ่มชัด ทอดตัวยาวไกล พร้อมๆ กับความฉ่ำชุ่มนุ่มนวลอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ความมีตัวตน มีชีวิตชีวา มีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นเสียงนักร้องหรือเครื่องดนตรีชิ้นใดก็ตามจะถูกถ่ายทอดออกมาด้วยองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

            ยิ่งฟังยิ่งเพลิดครับ สำหรับ “Reference 3 K” ทำให้เรารับรู้ถึงสารพัดเสียงสอดแทรกต่างๆ ที่ถูกบ่งบอกออกมาราวกับรายรอบตัวเรา มันจะแจ้งมากๆ สดสะอาดและแจ่มชัดให้ทิศทางที่มาของเสียงนั้นๆ อันน่าจะเป็นอานิสงส์จากการใช้ครอสโอเวอร์ที่มีจุดตัดแบ่งช่วงความถี่ที่เหมาะสมกับมิดเรนจ์-วูฟเฟอร์ และมิดเรนจ์กับทวีตเตอร์ ช่วงย่านเสียงกลาง / ต่ำจึงให้ความสดใสและฉับไว รายละเอียดต่างๆ มีความครบชัด ในขณะที่ช่วงย่านความถี่สูงก็ให้รายละเอียดได้ยิบยับ ฟังแล้วประทับใจ แม้กระทั่งการบรรเลงออร์เคสตราวงใหญ่ที่ประโคม-คำรนอย่างแผดสนั่น “Reference 3 K” ก็ยังคงส่งมอบเสียงที่มีมิติ มีตัวตน มีห้วงอารมณ์ความรู้สึกของดนตรี มีความเป็นธรรมชาติของเสียงแต่ละเสียงที่บังเกิดขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา สามารถจับตำแหน่งการแยกแยะแถว-ชั้นของเสียง พร้อมด้วยความโปร่งโล่งในมวลบรรยากาศ

สรุปส่งท้าย

            “Reference 3 K” ให้สุ้มเสียงออกมาได้อย่างครบเครื่อง – ทั้งเรื่อง “แรงปะทะ” (Impact) – “น้ำหนัก” (Weight) และ “ความไหลลื่น” (Dynamic) พร้อมๆ กับความประทับใจในสุ้มเสียงที่เนียน ละเอียด สดใส ควบคู่ความฉับพลันทันใด ทั้งยังให้ความโดดเด่นในด้านการถ่ายทอดสภาพบรรยากาศเสียงได้อย่างสมจริง เหมาะสมตามขนาดสถานที่ที่ทำการบันทึกเสียงนั้น เสียงทุกเสียงมีมวลอากาศทอดตัวเป็นอณูเสียงแผ่ขยายเป็นความกังวาน ไร้ซึ่งความจัดจ้านใดๆ มีแต่ความพละพลิ้ว เนียนนุ่ม ละมุนละไม ฟังกันเพลินได้นานเท่านาน ยิ่งฟังก็ยิ่งเพลิน จนลืมเวลาที่ผันผ่านไปในการรับฟัง นับเป็นความประทับใจอันสมศักด์ศรีที่ได้รับจากระบบลำโพงระดับเรือธงจริงๆ ครับ

            ขอขอบคุณ บริษัท Innovative Audio Video จำกัด ที่เอื้อเฟื้อ CANTON Reference 3 K ในการรับฟังครั้งนี้ และขอขอบคุณ Theater House ที่กรุณาเอื้อเฟื้อห้องฟัง

Exit mobile version